เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฟรีเมสันในทัศนะของ มุสลิม อ.บรรจง บินกาซัน


  ฟรีเมสันในทัศนะของ มุสลิม  อ.บรรจง บินกาซัน 


ฟรีเมสันส์ 

เป็น องค์กรลับของพวกยิว ที่มาตั้งแต่ยุคสมัยโรมัน องค์กรนี้ก่อตั้งขึ้นใน เยรูซาเล็ม เมื่อ 

เฮ โรด อากริปปา ได้เป็นกษัตริย์ของพวกยิวระหว่าง คศ.37-44 กษัตริย์ผู้นี้เป็นหลานของกษัตริย์ เฮโรดมหาราช 

ฆาตกรสังหารเด็กๆของชาวเมือง เบธเลเฮม เพราะกลัวการมาปรากฏตัวของ พระเยซู ซึ่งเขา เชื่อว่าจะมาเป็น 

ผู้ทำลายอาณาจักร ของเขา







เป้าหมายแรกของพวกฟรีเมสันคือการต่อสู้กับศาสนาคริสต์ หลังจากนั้น 

เป้าหมายของพวกนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นการต่อสู้กับทุกศาสนา เพื่อ สถาปนาอิสราเอลขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

และเพื่อกลับไปสู่ปาเลสไตน์ 




ใน คศ.1717 พวกฟรีเมสันได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งภายใต้ชื่อใหม่ว่า"สมาคม ฟรีมาโซนิค หรือ ฟรีเมสันส์"เพื่อ

ต่อต้านศาสนาอย่างเปิดเผย นอกจากนั้นแล้ว พวกนี้ยังได้ใช้เครื่องหมายใหม่เป็น รูปสามเหลี่ยมและวงเวียนปลาย

แหลมสองด้าน เป็นสัญลักษณ์อีกด้วย แหล่งพบปะหรือที่เรียกกันว่า “ลอดจ์” (lodge) แห่งแรกของคนพวกนี้ถูกตั้งขึ้น

ในอังกฤษโดยใช้คำขวัญใหม่ว่า “เสรีภาพ ภราดรภาพ และเสมอภาค” ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับ กลุ่มมาโซนิค 

และสโมสรต่างๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้น




หลังจากนั้น คนพวกนี้ก็ตัดสินใจประกาศเป้าหมายที่แท้จริงของตนดังต่อไปนี้ คือ

เพื่อรักษาศาสนายูดาย

เพื่อต่อสู้ศาสนาต่างๆโดยเฉพาะนิกายแคธอลิก

เพื่อเผยแพร่การไม่เชื่อในพระเจ้าและลัทธิเสรีนิยม

แหล่งพบปะใหม่ๆของ พวกฟรีเมสันส์ ก็ถูกตั้งขึ้นในสหรัฐฯ มีมุสลิมหลายคนหลงเชื่อไปกับคำขวัญของคนพวกนี้และได้

ไปเข้าร่วมเป็นสมาชิก ด้วย แต่เมื่อรู้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงของคนพวกนี้แล้ว มุสลิมเหล่านี้ก็ถอนตัวออกมาแต่ไม่กล้าเปิด

เผยความลับของคนพวกนี้โดยกลัวว่า จะถูกฆ่า 




งานศึกษาหลายชิ้น โดยนักเขียนชาวตะวันตกตลอดจนแถลงการณ์ ของพวกยิวและการศึกษาค้นคว้าเป็นการเฉพาะได้

พิสูจน์ให้เห็นว่า พวกยิวกำลังวางแผนที่จะทำให้โลกเสื่อมทรามลงโดยคำขวัญที่สวยหรูต่างๆ ซึ่งมุสลิมจะต้อง ระวังไว้

ให้ดี คนพวกนี้มีคำขวัญว่า“ศาสนานำไปสู่การแตกแยกในขณะที่ฟรีเมสันนำเราไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” 




มีรายงานในสารานุกรมมาโซนิคที่ออกในฟิลาเดลเฟียเมื่อปี คศ.1906 ว่าแหล่งพบปะทุกแห่งของ พวกมาโซนิค จะ

ต้องเป็นสัญลักษณ์ของวิหารชาวยิวและครูทุกคนจะต้องเป็นตัวแทนของกษัตริย์ยิวและ องค์การฟรีเมสันทุกแห่งจะต้อง

รวบรวมผู้ทำงานชาวยิวไว้ ในแถลงการณ์ของพวกมาโซนิคที่ ออกในลอนดอนใน คศ.1935 กล่าวว่า : 

“ความปรารถนาของเราก็เพื่อที่จะก่อตั้งลัทธิความเชื่อที่สมาชิกของลัทธิใช้ วิธีการมีความสัมพันธ์ทางเพศ” 

ดังนั้นจึงได้มีการตั้งสโมสต่างๆสำหรับคนชอบเปลือยกายขึ้นและพยายามอย่างเต็มที่ในการทำลายคุณค่าทางศีลธรรม




เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายของตน พวกฟรีเมสันส์ ได้ใช้ชื่อต่างๆกัน เช่น “ลูกหลานแห่งพันธสัญญา” (Children of covenant),

“คิวานี” (Kiwani), “ไลออนเนส” (Lioness), “ยะฮ์เวห์ เพรสเซนส์” (Yahweh Presence), “เอ็กซเชนจ์” (Exchange), 

“สโมสรโรตารี” (Rotary Club) และอื่นๆ ชาร์ลส มาร์ไดน์ (Charles Mardine) ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากเกี่ยว

กับเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง Rotary and The Like ของเขาซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ.1936




“ ลูกหลานแห่งพันธสัญญา ” (Children of covenant) พวกมาโซนิค กลุ่มนี้เกิดขึ้นที่ นิวยอร์ค ใน คศ.1843 โดยมี

สมาชิกเป็นชาวยิวโดยเฉพาะ หลังจากนั้น กลุ่มนี้ก็มีสาขาหลายแห่งทั่วโลก ในการประชุมครั้งหนึ่งซึ่งคนกลุ่ม

นี้จัดขึ้น เมื่อวันที่ 3พฤษภาคม1966 นายฟอร์สเตอร์ ดัลลัส ได้กล่าวในที่ประชุมว่า : “อารยธรรมตะวันตกวาง

พื้นฐานอยู่บนความเชื่อของยิว 

ประเทศตะวันตกทั้งหมดจะต้องป้องกันฐานที่มั่นของอารยธรรมของตน นั่นคือ อิสราเอล”







“ คิวานี ” (Kiwani) กลุ่มนี้มีคำขวัญว่า 

“รู้ด้วยตัวเองก็แล้วกันว่าจะทำให้เสียงของพวกท่าน เป็นที่รับฟังได้อย่างไร”

กลุ่มนี้ ถูกจัดตั้งขึ้นใน คศ.1915 ในเมืองดีทรอยต์ สหรัฐฯ




“ ไลออนเนส ” (Lioness) สาขานี้ปรากฏขึ้นในชิคาโกมาตุภูมิของสโมสรโรตารี ตามหนังสือพิมพ์อัล-อะฮ์รอมฉบับ

วันที่ 2ธันวาคม 1985 รัฐมนตรีหญิงได้ไปเปิด สโมสรไลออเนสส์แห่งแรกที่โรงแรมเชอราตันไคโร รายชื่อ

สมาชิกของกลุ่มนี้ มีอยู่ในหนังสือพิมพ์ด้วย




“ เอ็กซเชนจ์ ” (Exchange) ถูกก่อตั้งขึ้นในเมืองดีทรอยต์ในสหรัฐฯเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1916 โดย ชาร์ลส เบอร์คี 

ซึ่งเป็นพ่อค้าอัญมณีคนหนึ่ง กลุ่มนี้จัดประชุมครั้งแรกขึ้นใน ค.ศ.1917 




“ ยะฮ์เวห์ เพรสเซนส์ ” (Yahweh Presence) เป็นมูลนิธิของพวกยิวในชื่อคริสเตียน 

ยะฮ์เวห์เป็นนามของพระผู้เป็นเจ้า (พันธสัญญาเก่า) ถูกตั้งขึ้นในเพนซิลวาเนีย สหรัฐฯหลังจากนั้นก็ย้าย

ไปอยู่ที่นิวยอร์คใน คศ.1909 ผู้ปฏิบัติงานของมูลนิธิ นี้จะออกไปเยี่ยมเยียนผู้คนที่บ้านเพื่อส่งเสริม หลักการ

ที่วางพื้นฐานอยู่บน คัมภีร์โตราห์ (ซึ่งคนพวกนี้ได้บิดเบือนแล้ว)กลุ่มนี้เป็นสมาคมยิวที่อันตรายที่สุดกลุ่มหนึ่ง

ทั้งนี้เนื่องจากมันหลอกลวง ชาวคริสเตียนและสร้างเรื่องเท็จต่างๆขึ้นมาเกี่ยวกับศาสดา เช่น การพยากรณ์ถึง

ดินแดนแห่งพันธสัญญา




ในคศ.1951ความลับของ พวกฟรีเมสัน ก็แดงขึ้นในวารสารของกองทัพโดยนายทหารคนหนึ่งซึ่งเข้าไปร่วมกันคนพวก

นี้และหลังจากนั้นได้ออกมาเปิดเผยความลับของคนพวกนี้ นอกจากนี้แล้ว นายทหารคนหนึ่งยังได้เปิดเผยความลับของ

คนพวกนี้ ในหนังสือเรื่อง “ The World is the Doll of Israel ” (โลกนี้คือ ตุ๊กตาของอิสราเอล) ซึ่งได้ถูกแปลเป็น ภาษา

อาหรับ นอกจาก นี้แล้วก็ยังมีหนังสือบางเล่มเกี่ยวกับเรื่องฟรีเมสันที่เป็นประโยชน์ และสมควรที่จะกล่าวถึงในที่นี้ เช่น 

“Freemasonry Open Air”และ“Pawns on the Chase”โดยดร.มุฮัมมัด อะลี อัซ-ซุบี,นอกจากนี้ ดร.มุฮัมมัดเคยเป็นพวก

มาโซนิคคนสำคัญคนหนึ่งในเลบานอนแต่หลังจากนั้น เขาสำนึกผิดและได้กลับมาสู่อิสลามและได้ถูกพวกฟรีเมสันฆ่า




ต่อไปนี้เป็นกฎระเบียบของ ชะรีอ๊ะฮ เกี่ยวกับเรื่องฟรีเมสันและ สมาชิกขององค์กรนี้ ซึ่ง สภานิติศาสตร์อิสลาม ได้

ประกาศออกมาในการประชุมที่จัดขึ้นในมักก๊ะฮ์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ฮ.ศ.1398 ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กรกฏาคม คศ.1978 

หลังจากที่ได้ศึกษาและตรวจสอบทุกสิ่งที่ได้ถูกเขียนและตีพิพม์เกี่ยวกับ เรื่องนี้แล้ว สภาขอกล่าวว่า:




1) ฟรีเมสันเป็นลัทธิความเชื่อที่มีหลักการและเป้าหมายลึกลับ ไม่มีใครรู้ความลับของคนพวกนี้แม้แต่สมาชิกส่วน

ใหญ่ยกเว้นคนที่มีตำแหน่ง สูงๆซึ่งบางครั้งทำงานอยู่ในหมู่ประชาชน

2) องค์กรของลัทธิความเชื่อนี้สร้างความสัมพันธ์ในหมู่สมาชิกของตนออกไปทั่วโลก โดยอาศัยข้ออ้างความเป็น

พี่น้องแบบหลอกลวงเพื่อที่จะปกปิดเป้าหมายของตนไว้ เป็นความลับ สมาชิกขององค์กรนี้ ประกอบด้วยคนจาก

ทุกศาสนาและความเชื่อ

3) องค์กรของลัทธิความเชื่อนี้ดึงดูดผู้คนโดยการตอบสนองผลประโยชน์ส่วนบุคคล ทั้งนี้เนื่องจากฟรีเมสันทุกคน

จะต้องรับใช้พี่น้องของตนทั่วโลก นั่นคือ เพื่อส่งเสริมสมาชิกให้ประสบความสำเร็จ ตามที่ใฝ่ฝันไว้ไม่ว่าจะเป็น

อะไรก็ ตามและเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆให้แก่สมาชิกในการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายนั้น คนพวกนี้จะทำงานร่วมกัน 

ทั้งในเรื่องความดี และความชั่ว ความยุติธรรมและความไม่ยุติธรรม แต่โดยหน้าฉากแล้ว คนพวกนี้จะทำงานให้

ปรากฏเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือกันในสิ่งที่ดี พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกฟรีเมสัน จะทำงานเพื่อให้

สมาชิกของพวกตน เข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญในสังคมและ นี่คือสิ่งดึงดูดคนให้เข้าไปเป็นสมาชิก และสมาชิก

เหล่านี้เองที่มีส่วนร่วมอย่างสำคัญต่อการทำงานขององค์กร

4) การเข้าร่วมองค์กรนี้เริ่มต้นด้วยพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่น่า สะพรึงกลัวเพื่อข่มขู่ให้สมาชิกกลัวถ้า

หากเขาหรือเธอฝ่าฝืนคำสอนหรือคำสั่ง ขององค์กร

5) สมาชิกที่ไม่ประสีประสา จะได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติพีธีทางศาสนาของพวกตน แต่คนพวกนี้จะได้รับคำสั่งให้

ทำงานบางอย่างตามความสามารถและจะถูกเตรียมตัว ให้เป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้า และดำรงตำแหน่งตามลักษณะ

ของงาน ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย และแผนการที่ชั่วร้ายขององค์กร

6) ฟรีเมสันมีเป้าหมายทางการเมืองและมีบทบาทสำคัญในการรัฐประหารส่วนใหญ่ทั่ว โลก

7) โดยพื้นฐานแล้ว องค์กรฟรีเมสันเป็นองค์กรความเชื่อลึกลับของพวกยิวและไซออนิสต์

8) ในเป้าหมายอันลึกลับนั้น องค์กรนี้เป็นศัตรูต่อทุกศาสนาโดยเฉพาะอิสลาม

9) พวกฟรีเมสันเลือกสมาชิกของตนจากหมู่คนที่มีสติปัญญา ฐานะร่ำรวย นักวิทยาศาสตร์และบุคคลผู้มีอิทธิพลต่อ

ประชาชน ทั้งนี้เพื่อใช้บุคคลเหล่านี้ ทำงานเพื่อเป้าหมายของตนและสมาชิก

10) องค์กรนี้ใช้ชื่อและลักษณะต่างๆและทำกิจกรรมที่หลากหลายในที่ที่มีการต่อ ต้านพวกตนเกิดขึ้นในสังคม ใน

จำนวนชื่อเหล่านี้ได้แก่ โรตารี, ไลออนเนส และ สโมสรไลออนส์ เป็นต้น

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าฟรีเมสันมีสาย สัมพันธ์ที่ช่วยให้องค์กรของตนควบคุมและชี้นำบุคคลต่างๆทั่วโลกที่มีอำนาจ หน้าที่

เกี่ยวกับเรื่องปาเลสไตน์และแสวงหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว จากความจริงดังกล่าวเกี่ยวกับเป้าหมายและ

วิธีการอันชั่วร้ายที่พวกฟรีเมสัน ใช้ดังกล่าวข้างต้นนั้น สภานิติศาสตร์เชื่อว่าองค์กรลัทธิความเชื่อดังกล่าวเป็นองค์กร

อันตรายที่ ทำลายอิสลามและมุสลิม และใครที่เข้าไปร่วมองค์กรนี้ถือว่าเป็นผู้ปฏิเสธความศรัทธาในอิสลาม”

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การสิ้นสุดระบบคอลีฟะฮ์ผู้ทรงคุณธรรม




โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี  เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ


14. การสิ้นสุดระบบคอลีฟะฮ์ผู้ทรงคุณธรรม

 การสละตำแหน่งของฮะซัน

นับจากวันแรกที่ท่านอาลีก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง     ท่านอาลีก็ต้องเผชิญกับการท้าท้ายอำนาจทางการเมืองของตนแล้วเพราะมุอาวิยะฮถือว่าตัวเองเป็นทายาททางการเมืองที่ถูกต้องของคอลีฟะฮ์อุษมานเหมือนกันและยังปรารถนาที่จะแก้แค้นให้แก่คอลีฟะฮ์ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย    เมื่อเวลาผ่านไป   มุอาวิยะฮก็มีฐานนะมั่งคงเข้มแข็งขึ้นสามารถช่วงชิงดินแดนส่วนใหญ่มาได้จาก      ท่านอาลี  ในตอนที่ท่านอาลีจบชีวิตลงนั้นมุอาวิยะฮเป็นผู้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของโลกมุสลิมเอาไว้และเตรียมตัวที่จะสถาปนาตัวเองเป็นคอลีฟะฮ์ฮย่างเป็นทางการด้วยและเวลานั้นอิรักและอิหร่านเป็นเพียงเมือง หนึ่งซึ่งภักดี ต่อท่านอาลีเพียงที่ริมฝีปากเท่านั้น

หลังจากที่ท่านอาลีสิ้นชีวิตลงไปแล้วฮะซันลูกชายคนโตของท่านอาลีก็ก้าวขึ้นมาสืบตำแหน่งต่อ   กองทหารของมุอาวิยะฮจึงยาตราไปยังอิรักและสามารถเอาชนะคนของฮะซันได้โดยง่าย  ฮะซันเป็นคนที่รักสันติและรู้ว่าคนอิรักนั้นเชื่อไม่ได้  ฮะซันเรียนรู้บทเรียนนี้มาตั้งแต่สมัยพ่อของตนแล้ว  และก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรดีขึ้น   ดังนั้นฮะซันจึงตัดสินใจทำสัญญาสันติภาพกับมุอาวิยะฮ

                เมื่อได้ที่มุอาวิยะฮก็ขี่แพะไล่ด้วยการใช้กำลังที่มากกว่าและสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยบีบฮะซัน  แต่มุอาวิยะฮก็คิดว่ามันไม่เป็นการฉลาดนักถ้าจะบีบฮะซันหนักจนเกินไปมุอาวิยะฮจึงส่งสาสน์ไปยังฮะซันว่า
                “โดยความเคร่งครัดและศีลธรรมอันสูงส่ง  ท่านมีสิทธิในตำแหน่งคอลีฟะฮ์อย่างไม่มีปัญหา  ถ้าหากข้าพเจ้าเพียงแต่สามารถเชื่อได้ว่าท่านจะบริหารบ้านเมืองไปได้อย่างสงบ  และสามารถป้องกันประชาชนให้พ้นจากภยันตรายต่างๆได้  ข้าพเจ้าก็จะเป็นคนแรกที่ให้สัตยาสาบานสวามิภักดิ์ต่อท่าน  แต่สถานการณ์ปัจจุบันต้องการให้ท่านสละตำแห่นงคอลีฟะฮ์  ดังนั้นข้าพเจ้าจะให้ท่านในสิ่งที่ ท่านเรียกร้องเป็นการตอบแทน
                สาสน์ดังกล่าวมีกระดาษเปล่าประทับตราของมุอาวิยะฮแนบมาด้วย  ฮะซันถูกขอร้องให้เขียนอะไรก็ได้ในสิ่งที่ต้องการฮะซันพอใจกับสาสน์ดังกล่าว  ท่านจึงได้สละบังลังก์  เปิดทางให้มุอาวิยะฮโดยเรียกร้องเงินทดแทนให้แก่ตนเองและวงศาคณาญาติจำนวนหนึ่ง  นอกจากนั้นแล้วก็ขอให้มุอาวิยะฮนิรโทษกรรมคนอิรักด้วยซึ่งมุอาวิยะฮก็ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวโดยทันที่   
          ท่านนบี ได้กล่าวว่าการปกครองโดยคอลีฟะฮ์ จะมีระยะเวลาประมาณสามสิบปี หลังจากนั้นฮะซันได้ยอมสละอำนาจให้มุอาวิยะฮในเดือนเราะบีอุลเอาวัล  ..41 /  กรกฎาคม  .. 661  ซึ่งเป็นตอนปลายปีที่สามสิบหลังจากการสิ้นชีวิตของท่านนบี  มุอาวิยะฮได้ขอให้ฮะซันบอกประชาชนหลังจากการสละอำนาจ  ฮะซันได้กล่าวว่า
  “พวกท่านทั้งหลายในตอนแรก  อัลลอฮ  I ได้ส่งประทานทางนำแก่พวกท่านผ่านบรรพบุรุษของเราและทรงช่วยพวกท่านจากการหลั่งเลือดจากลูกหลานของคนเหล่านั้น   อัลลอฮ I ได้ทรงกำหนดระยะเวลาสำหรับมันแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากการขึ้นๆลงๆ ของโชคชะตาขึ้นสำหรับคนหนึ่งและลงสำหรับอีกคนหนึ่ง  จงจำไว้ว่าอัลลอฮ I ได้ทรงบอกนบีของพระองค์ให้บอกพวกท่านว่า  “ฉันไม่รู้ว่ามันอาจจะเป็นการทดสอบสำหรับพวกท่านและเป็นการสนุกสนามชั่วฤดูหนึ่ง”         

  (อัลกุรอาน  21: 111)
               
คำพูดสั้นๆแต่มีความหมายนี้มุอาวิยะฮถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถขจัดออกไปจากจิตใจเขามาเป็นเวลานานแล้ว                                            
ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อ  อบูอามิร  ได้กล่าวกับฮะซันว่า “สันติจงมีแด่ท่าน  คนที่ทำให้มุสลิมขายหน้า” ไม่ยอมเป็นศัตรูกับพวกซีเรีย  ฮะซันได้ตอบว่า “ไม่เลย  อบูอามิร  ฉันไม่ได้ทำให้มุสลิมอับอายขายหน้า ฉันเพียงแต่ไม่ชอบที่จะมีการหลั่งเลือดเพื่อเห็นแก่การปกครองของฉัน
หลังจากที่สละอำนาจแล้วฮะซันก็ใช้ชีวิตอยู่กับฮุเซนน้องชายของเขาและสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวที่นครมะดีนะฮ  เมื่อใดก็ตามที่เขาผ่านบริเวณที่อยู่อาศัยของคนที่เป็นพวกเขาและสนับสนุนเขา  คนเหล่านั้นจะกล่าวถ้อยคำถากถางเขาที่สละอำนาจให้แก่มุอาวิยะฮ  แต่เนื่องจากเป็นคนที่ไว้เกียรติของตัวเองและใจกว้าง  เขาจึงไม่เคยตอบกลับและไม่เคยเสียใจในสิ่งที่เขาได้ทำไป  แต่เขาจะรู้สึกพอใจในการตัดสินใจของเขามากกว่าถึงแม้จะมีคนในตระกูลของเขาบางคนไม่พอใจก็ตาม  ความจริงแล้ววิธีการของฮะซันเป็นสิ่งที่เหมาะสมและยังคงเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่อาจจะต้องตกอยู่ในที่นั่งเช่นเดียวกับเขา เขาสมควรที่จะได้รับคำยกย่องสำหรับการป้องกันการนองเลือดของมุสลิมดังที่ท่านนบี  ได้กล่าวล่วงหน้าไว้
                บ่อยครั้งที่คนที่เคยสนับสนุนเขาเคยตะโกนเรียกเขาโดยกล่าวว่า  “ความขายหน้าของบรรดาผู้ศรัทธา”  ฮะซันมักจะตอบคนเหล่านั้นว่า  “ขายหน้าก็ดีกว่าไฟนรก
                อะบูดาวูด  ติยาลซีเล่าจากซุฮัยร  บิน  นุฟัยร์  อัลฮัฎรอมีผู้ได้ยินพ่อของเขาเล่าว่า  “ฉันได้กล่าวกับฮะซัน  บิน  อาลีว่าคนคิดว่าท่านยังต้องการเป็นคอลีฟะฮ์ ”  เขาตอบว่า  “ฉันเป็นผู้นำชาวอาหรับ  พวกเขาน่าจะสร้างสันติภาพหรือทำสงครามกับคนที่ฉันสร้างสันติภาพหรือสงครามด้วยแต่ฉันได้สละอำนาจเหล่านั้นแล้วเพื่อความโปรดปรานของอัลลอฮ I จะให้ฉันจุดไฟเผาเพื่อนบ้านของฮิญาซอีกกระนั้นหรือ”  ในอีกครั้งหนึ่งเขาได้กล่าวว่า  “ฉันกลัวว่าคนเจ็ดหรือแปดหมื่นคนหรือในราวนั้นอาจจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าฉันในวันตัดสินในสภาพที่มีเลือดไหลโชกและพวกเขาอาจจะร้องทุกข์ต่ออัลลอฮI เกี่ยวกับฉัน
ความจริงแล้ววิธีการของฮะซันเป็นสิ่งที่เหมาะสมและยังคงเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่อาจจะต้องตกอยู่ในที่นั่งเช่นเดียวกับเขา                 
                ท่านฮะซันได้รับเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮแทนท่านอาลีพ่อของเขา ใน ฮ..41/..661   เขาได้ทำสัญญาสันติภาพกับมุอาวิยะฮในเดือน  เราะบีอุลเ อาวัล  ..41/ กรกฎาคม  ..661  ซึ่งเป็นปีที่เรียกว่า  “อามุล-ญัมอาฮฺ”  เขาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์เป็นเวลา  6  เดือน  การปกครองด้วยคอลีฟะฮ์ก็เป็นอันสิ้นสุดลงหลังจากที่ครบสามสิบปี          


การเลือกฮะซันเป็น เคาะลีฟะห์




โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี  เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ


12. การเลือกฮะซันเป็นคอลีฟะฮ์
จากการที่ท่านคอลีฟะฮ์อาลีไม่ยอมที่จะเสนอชื่อใครเป็นคอลีฟะฮ์ขึ้นมาสืบทอดต่อจากท่านและต้องการที่จะปฏิบัติตามท่านนบี  ในการปล่อยเรื่องนี้ให้อยู่กับประชาชน ดั้งนั้น คำตอบของท่านต่อประชาชนที่ขอให้ท่านเสนอชื่อผู้ที่จะขึ้นมาสืบอำนาจต่อจากท่านก็คือ  “ไม่  ฉันจากพวกท่านเช่นเดียวกับที่ท่านนบี  ได้จากพวกท่านไป  หากอัลลอฮ I ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงให้พวกท่านเห็นพ้องต้องกันในการเลือกคนดีที่สุดที่เหมาะสมเช่นเดียวกับที่พวกท่านได้ตกลงเลือกคนดีที่สุดหลังจากท่านนบี   “แต่ผู้คนก็ให้สัตย์สาบานจงรักภัคดีต่อหะซันในวันที่ท่านอาลีได้รับบาดเจ็บสาหัส วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ 17 ของเดือนเราะมะดอน ฮ..40 / 24 มกราคม  .. 661
                อิบนุ กะษีร ได้รายงานเหตุการณ์ในรายละเอียดไว้ว่า หลังจากอาลีเสียชีวิต (และฮะซันได้รับเลือกให้เป็นคอลีฟะฮ์ กออิส บิน  ซะด์  บิน  อิบาด๊ะได้เริ่มกดดันฮะซันให้ทำสงครามกับพวกซีเรีย  ฮะซันไม่ยอม แต่ผู้คนก็ยังยืนยันในความต้องการของพวกตนและได้มาชุมนุม  กันรอบๆ ฮะซันเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน  ในที่สุด ฮะซันก็ได้สั่งให้ทหารทัพหน้าจำนวน  12,000  คนภายใต้การนำของกออิส  บินซะด์  มุ่งหน้าไปก่อน  ส่วนตัวฮะซันเองนำกองกำลังหลักไปเผชิญหน้ากับมุอาวิยะฮและกองทัพซีเรีย  เมื่อมาถึงเมืองมะดาอิน  เขาก็ตั้งค่ายพักและสั่งให้กองทัพหน้าค้างแรมอยู่ข้างหน้า
                “ ขณะที่ตั้งค่ายที่มะดาอิน  มีใครบางคนได้ส่งเสียงร้องออกมาว่ากออิสถูกฆ่า  จึงก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในกองทัพและปล้นชิงซึ่งกันและกัน จนถึงขนาดที่ว่าคนพวกนี้ได้รื้อเต็นท์ที่พักของฮะซัน และพยายามฉกชิงพรมที่ฮะซันกำลังนั่งอยู่ ทำให้หลายคนได้รับบาดเจ็บ  ฮะซันเองก็ได้รับบาดเจ็บ  แต่โชคดีที่ไม่สาหัส  ฮะซันจึงลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังวังในมะดาอิน  มุคตาร์  บิน  อุบัยด๊ะฮ  ได้บอกซะด์  บิน  มัศอูดลุงของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองมะดาอิน ได้บอกลุงของเขาว่าฉันจะบอกลุงถึงวิธีที่จะได้ทรัพย์สินและเกียรติยศให้เอาไหม ? “ ซะด์ได้ถามว่า  “ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” มุคตาร์จึงบอกว่าจับฮะซันแล้วส่งตัวไปให้มุอาวิยะฮ”  แต่ซะด์ตอบว่า  “ขออัลลอฮ I ทรงสาปแช่งเจ้าและทำให้เจ้าพินาศ  จะให้ฉันทรยศหลานของท่านนบี กระนั้นหรือ
                อิบนุกะษีร ได้เขียนต่อไปว่า  “ชาวอิรักได้เลือกหะซันด้วยความหวังว่าเขาจะเป็นศัตรูต่อพวกซีเรีย  แต่พวกเขาก็ไม่สมหวังกับสิ่งที่คาดไว้ซึ่งพวกเขาเองเป็นผู้รับผิดชอบ  พวกเขาเองหลีกเลี่ยงการต่อสู้และไม่เชื่อฟังผู้นำ  ถ้าหากพวกเขาฉลาด พวกเขาก็น่าจะใช้ประโยชน์จากการที่อัลลอฮ I ทรงประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขาโดยการที่ให้พวกเขาได้ประกาศตนแสดงความจงรักภัคดีต่อลูกของนบี  ซึ่งเป็นสาวผู้กล้าหาญและมีความรู้
                “เมื่อฮะซัน สั่งเกตเห็นว่ากองทัพของเขาแตกเป็นหลายฝ่ายและดื้อดึง  เขาก็เกิดความท้อแท้และเศร้าใจ  เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปถึงมุอาวิยะฮ  บิน  อบีซุฟยาน ( ซึ่งในตอนนั้นได้ส่งกองทหารไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า มัสคันแล้วในจดหมายฉบับนั้น  เขาได้ยื่นข้อเสนอสันติภาพโดยมีเงื่อนไขบางประการ  กล่าวคือ  เขาเสนอว่าจะยอมสละอำนาจให้แก่มุอาวิยะฮ ถ้า     มุอาวิยะฮยอมรับเงื่อนไขเหล่านั้นซึ่งจะทำให้การนองเลือดในหมู่มุสลิมยุติลง เมื่อประชาชนรู้เรื่องจดหมายฉบับนี้พวกเขาก็ตกลงที่จะให้มุอาวิยะฮเป็นคอลีฟะฮ์

13. ชีวิตเบื้องต้นของท่านฮาซัน อุปนิสัยใจคอ และความประเสริฐ
                        ฮาซัน  บิน  อาลี บิน อบีฏอลิบ  ลูกชายคนโตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ   ลูกสาวของท่าน นบี  มีความละม้ายคล้ายคลึงกับปู่ของเขามาก  ตามบันทึกที่น่าเชื่อถือได้  เขาเกิดในเดือนชะบาน ฮ..3  ตรงกับวันที่ 12 มกราคม ค.. 625  ถึงแม้ว่าจะมีบันทึกอื่นๆอ้างว่าเขาเกิดหลังจากเดือนรอมฎอนหนึ่งหรือสองวัน 
                         ท่านนบี  มีความผูกพันกับเขามาก เมื่อเขายังเป็นทารก  ท่านนบี  เคยจูบแก้มและริมฝีปากของเขาและยังเคยเอาลิ้นของท่านดุนเข้าไปในปากของเขา  บางครั้งท่านก็จะนำเอาฮะซันมาตั้งไว้บนตักหรือไม่ก็ให้เขานั่งบนหน้าอกหรือขี่หลังท่าน บางครั้งเมื่อท่านนบี  ก้มลงกราบในขณะนมาซ ฮะซันจะปีนขึ้นไปบนหลังของท่านซึ่งทำให้ท่านต้องก้มกราบอยู่เป็นเวลานานและบ่อยครั้งที่ท่านนบี  ได้นำฮะซันไปนั่งอยู่ข้างบนแท่งปาฐกถาธรรมในมัสยิด
                ชุฮรีายงานจากอะนัสว่าฮะซัน  บิน  อาลี  ดูเหมือนกับท่านนบี มาก  ฮานีรายงานว่าอาลีได้บอกเขาว่า  “ฮะซันมีความละม้ายคล้ายคลึงกับท่านตั่งแต่อกไปจนถึงศีรษะ    ในขณะที่ฮุเซนดูเหมือนกับปู่ของเขาตั้งแต่อกไปจนถึงเท้า
               ท่านอาลีเองก็รักฮะซันเป็นอย่างมาก  ครั้งหนึ่ง ท่านอาลีต้องการที่จะได้ยิน    ฮะซันกล่าว ปราศรัย  แต่ฮะซันประหม่าที่จะพูดต่อหน้าเขา   วันหนึ่ง เมื่อฮะซันยืนขึ้นเพื่อจะกล่าวคำปราศรัย  อาลีแอบนั่งตรงที่ฮะซันไม่สามารถเห็นเขา   เมื่อฮะซันกล่าววคำปราศรัยจบ   อาลีก็กล่าวว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว  ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
                ส่วนใหญ่แล้ว  ฮะซันจะเป็นคนเก็บตัวเงียบและพูดน้อย  แต่เมื่อเขาพูด  คนอื่นจะต้องเงียบ  เขาไม่ชอบที่จะไปงานเลี้ยง  หลีกเลี่ยงการถกเถียงทุกอย่างและไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายกิจการของคนอื่น  แต่จะช่วยคลี่คลายข้อขัดแย้งด้วยข้อโต้แย้งที่มีเหตุผลถ้าหากเรื่องนี้มาถึงเขา
                ฮะซันเคยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีทั้งหมดในหนทางของอัลลอฮ I เขาประกอบพิธีหัจญ์  25  ครั้งโดยเกินทางด้วยเท้าพร้อมกับต้อนฝูงแกะเพื่อเชือดพลีไปด้วย  เมื่อใดก็ตามที่อับดุลลอฮ บิน อับบาสเห็นฮะซันหรือไม่ก็ฮุเซนขี่ม้า  เขามักจะเข้าไปจับบังเหียนเพื่อเป็นเกียรติให้แก่เขา  เมื่อผู้คนเห็นฮะซันหรือไม่ก็ฮุเซนเวียนรอบกะอบะฮ  พวกเขาก็จะกรูกันมาล้อมรอบเขาเพื่อป้องกันมิให้เขาต้องถูกเบียดเสียด
                ฮุซัยฟะฮรายงานว่าท่านนบีได้กล่าวว่า  “ฮะซันและฮุเซนเป็นผู้นำของผู้ที่อยู่ในสวรรค์”  นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายคนรวมทั้งอะลีญาบิร,บุรอยดะฮ  และอบูสะอีดก็ได้รายงานว่าท่านนบีได้พูดเช่นนี้
                บุคอรีรายงานจากอบูบักรว่า  “ฉันได้เห็นท่านนบีนั่งอยู่บนแท่นเทศนสโดยมีฮะซัน บิน    อาลีอยู่ข้างๆ ท่านได้แสดงปาฐกถาธรรมแก่ผู้คนและหลังจากนั้นก็หันไปยังฮะซันพร้อมกับกล่าวว่า  “ลูกชายของฉันคนนี้เป็นผู้นำ  ฉันหวังว่าอัลลอฮ I  จะทรงทำให้เขาสร้างสันติภาพขึ้นในหมู่มุสลิมสองฝ่าย”  นอกจากนั้นก็ยังมีคนอื่นๆรายงานเช่นเดียวกันนี้
                อิบนุอับบาสเล่าว่าครั้งหนึ่งท่านนบี  กำลังแบกฮะซันไว้บนหลังของท่านขณะนั้นมีใครบางคนเห็นคนทั้งสองและได้กล่าว่า  “หนูน้อย  หนูมีพาหนะดีเสียนี่กระไร”  ท่านนบี  จึงได้ตอบว่า  “คนขี่ก็ดีด้วย”  ฮะซันและฮุเซนมีความเชี่ยวชาญในการขี่ม้าเป็นอย่างมาก
                อบู  นุอัยม์รายงานว่าอบูฮุรอยเราะฮได้บอกเขาว่า  “เมื่อใดก็ตามที่ฉันเห็นฮะซัน  ตาของฉันก็เอ่อไปด้วยน้ำตาเพราะฉันได้เห็นว่าครั้งหนึ่งเขาได้วิ่งมานั่งบนตักของท่านนบี   ฮะซันได้ดึงเคราของท่านนบี  และท่านได้พ่นน้ำลายใส่ในปากของฮะซันและกล่าวคำวิงวอนว่า  “โอ้ อัลลอฮ I  ฉันรักเขาขอพระองค์ได้ทรงถือเขาเป็นที่รักด้วยเถิด”  ท่านนบี  กล่าวเช่นนี้สามครั้ง
คำพูดล่วงหน้าเกี่ยวกับฮะซัน
คำพูดล่วงหน้าของท่านนบี  เกี่ยวกับฮะซันที่ว่าเขาจะเป็นคนสร้างความสามัคคีขึ้นระหว่างมุสลิมสองฝ่าย    นั้นมิใช่เป็นคำทำนายที่ต้องการจะให้ได้ยินและมุสลิมคนอื่นๆต้องยอมรับ สำหรับฮะซัน นั้นเป็นสัญญาณและแสงนำทางที่สร้างแบบแผนชีวิตและความประพฤติของเขาให้สอดคล้องกับสิ่งที่นบี ได้บอกกล่าวไว้ มันทำให้เขาต้องจดจำไว้ในหัวใจในการกำหนดท่าทีของเขา เขาถือว่ามันเป็นคำสั่งจากนบีของอัลลอฮI   ปู่ของเขาซึ่งเขารักและภาคภูมิใจ แน่นอนเขาจะต้องสังเกตเห็นใบหน้าของท่านนบี  และสายตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความพึงพอใจในขณะที่กล่าวถ้อยคำเช่นนั้น  และเขาคงตัดสินใจแล้วที่จะทำตามความคาดหวังของท่านนบี  คำพูดล่วงหน้าที่ท่านนบี  กล่าวนั้น สอดคล้องกับนิสัยใจคอที่อ่อนโยนและสงบเยือกเย็นของฮะซัน 
เขาเป็นลูกชายที่เป็นที่รักและเป็นที่ไว้วางใจของพ่อของเขา  แต่เมื่ออุษมานถูกลอบสังหารเขาก็กล่าวกับอาลีว่า ปล่อยคนเหล่านี้ไว้และไปที่ไหนก็ได้ที่พ่อต้องการจนกว่าพวกอาหรับจะสำ-นึกในความผิดของตน  แล้วเวลานั้นพวกเขาจะหาท่านถึงแม้ว่าท่านจะซ่อนอยู่ในรูแย้ก็ตามแล้วพวกเขาจะให้สัตย์สาบานแสดงจงรักภักดีต่อท่านโดยที่ท่านไม่ต้องขอ”  ในทำนองเดียวกัน  เมื่อท่านอาลีตัดสินใจที่จะต่อสู้พวกซีเรียและเตรียมพร้อมที่จะนำทหารออกจากมะดีนะฮ  ฮะซันก็ได้ร้องขอต่อเขาว่า  “พ่อ เลิกเถอะเพราะมันจะทำให้มุสลิมต้องเสียเลือดเนื้อและสร้างความรู้สึกขัดแย้งขึ้นในหมู่มุสลิมอย่างไม่สิ้นสุด”  ท่าทีประนีประนอมเช่นนี้ของฮะซันในเรื่องที่พ่อของเขาต้องเข้าไปเกี่ยงข้องโดยไม่ผิดนั้นชี้ให้เห็นถึงคำทำนายและคำวิงวอนของท่านนบี  
                อย่างไรก็ตาม  ท่านอาลีก็ไม่ยอมรับคำแนะนำของฮะซันทั้งนี้เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ประชาชนถูกปล่อยทิ้งไว้ในความไม่แน่นอน  เขาถือว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องผนึกกำลังผู้คนไว้ภายใต้คอลีฟะฮ์คนเดียวซึ่งเขาถือว่าเป็นสิ่งถูกต้องและเพื่อขจัดสิ่งที่เขาถือว่าเป็นสิ่งผิด  เขาถือว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกุรอานที่ว่า  “และทุกคนต่างมีทิศทางที่จะหันไปสู่

 

การสิ้นชีวิตของฮะซัน

                ฮะซันสิ้นชีวิตเพราะถูกวางยาพิษ  อุมัยร์  บิน  อิสฮากกล่าวว่า เขากับชาวกุเรชคนหนึ่งได้ไปหาฮะซันและฮะซันได้บอกเขาว่า  “ฉันถูกวางยาพิษหลายครั้งและแต่ละครั้งก็หนักยิ่งกว่าเก่าดังนั้นเขาจึงได้รับความเจ็บปวดมากก่อนที่จะเสียชีวิต
                ฮุเซนได้มาหาฮะซันและนั่งลงบนที่นอนใกล้ศีรษะของเขา  เขาถามฮะซันว่า  “พี่ใครวางยาพิษพี่?”  ฮะซันถามว่าเจ้าต้องการฆ่าเขาใช่ไหม?” เมื่อฮุเซนตอบยืนยัน  ฮะซันได้กล่าวว่า  “ถ้าหากเขาเป็นคนที่ฉันสงสัย  ไม่มีอะไรมากไปกว่าอัลลอฮ I ในการแก้แค้นแต่ถ้าหากเขาไม่ผิด  ฉันไม่ต้องการให้เจ้าฆ่าคนที่บริสุทธิ์
                พิธีฝังศพของฮะซันมีคนจำนวนมากมาร่วมจนสุสานอัลบะกีอไม่สามารถบรรจุคนทั้งหมาดได้  วากิดีรายงานจากเซาลาบ  บิน  มาลิก  ว่า  “ในตอนที่ฮะซันเสียชีวิตและถูกฝังที่อัลบะกีอนั้น  ฉันได้อยู่ที่นั่นด้วย  คนที่มาร่วมพิธีฝังศพนั้นแน่นขนัด จนถ้าหากเข็มสักเล่มหนึ่งจะตกมันจะตกบนหัวของใครบางมากว่าที่จะตกถึงพื้นในตอนที่เสียชีวิต  ฮะซันมีอายุได้ 47 ปี   เขาได้รับเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮในเดือนเราะบีอุลเอาวัล  .. 41/..661  เขาได้ทำสัญญาสันติภาพกับมุอาวิยะฮในเดือนเราะบีอุลเอาวัล  ฮศ.41/กรกฏาคม  ..661  ซึ่งเป็นปีที่เรียกกันว่า  “อามุล-ญัมอาฮ”  เขาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์เป็นเวลาหกเดือน  การปกครองด้วยคอลีฟะฮ์ก็เป็นอันสิ้นสุดลงหลังจากที่ครบสามสิบปี
               

จุดยืนของฮะซัน

                การที่ฮะซันตัดสินใจสร้างสันติภาพกับมุอาวิยะฮและยอมสละการเป็นคอลีฟะฮ์ให้แก่เขานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องและตรงเวลาเช่นเดียวกับที่ฮุเซนทำกับยาซีด  บิน  มุอาวิยะฮหลังจากนั้น  เหตุการณ์ต่างๆ  ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อม  เวลาและสถานที่ซึ่งทั้งหมดจะต้องมาพิจารณาในการตัดสินใจหรือนำวิธีการใดมาใช้ในแต่ละสถานการณ์อย่างถูกต้อง  การใช้วิธีการเดียวกันกับทุกสถานการณ์ไม่อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องเหมาะสม  ลักษณะและศีลธรรมของมุอาวิยะฮและยะซีดนั้นมีความแตกต่างกันมากโดยเฉพาะถ้าเราพิจารณาจากการที่มุอาวิยะฮมีโอกาสได้รับคำแนะนำจากท่านนบี  และการรับใช้อิสลามของเขา
                การสงครามกับมุอาวิยะฮต่อไปอาจจะหมายถึงความเป็นศัตรูและการหลั่งเลือดมุสลิมไม่มีวันสิ้นสุด  สังคมมุสลิมในระหว่างสมัยของเขาซึ่งแตกแยกกันภายในและถูกข่มขู่จากภายนอกกำลังประสบภาวะวิกฤตสภาพการณ์เหล่านี้อาจทำให้คนบางกลุ่มก่อการจลาจลหรือใช้วิธีการทรยศหักหลัง  ฮะซันรู้จักชาวอิรักดีกว่าใคร  ชาวอิรักสนับสนุนพ่อของเขาแต่ด้วยความหุนหันพลันแล่นและขาดความอดทนจึงต้องต่อสู้กันหลายครั้งก่อนที่จะไปสู่สนามรบ  ความไม่มีระเบียบวินัย  ความใจร้อนและการทรยศหักหลังของคนเหล่านี้ได้ทำลายชัยชนะของพ่อของฮะซันมาหลายครั้งแล้วและทำให้เขาต้องเสียใจซึ่งสามารถจะเห็นได้จากคำปราศรัยและจดหมายที่อยู่ในหนังสือ นะฮญุล  บะลาเฆาะฮ  ฮะซันเองก็ได้เห็นเหตุการณ์อันเจ็บปวดเหล่านี้มาทั้งหมด

ฮุเซน บิน อาลี

                ฮุเซน  บิน  อาลีเกิดเมื่อวันที่ 5 เดือนชะบาน  ..4/10  มกราคม ค..626  ท่านนบี  ได้ใช้นิ้วของท่านเองจุ่มน้ำผึ้งเพื่อใส่ปากให้ฮุเซนเลียหลังจากนั้นก็ขอพรให้แก่เขาและตั้งชื่อนี้ได้  ดังที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าฮะซันมีความละม้ายคล้ายคลึงกับท่านนบี  ในลักษณะทางใบหน้าในขณะที่ฮุเซนมีความละม้ายคล้ายคลึงกับปู่ของเขาในเรือนร่าง  ฮุเซนมีอายุได้ประมาณหกขวบครึ่งเมื่อตอนที่ท่านนบี  อำลาจากโลกนี้ไปในวันที่  12  เดือนเราะบีอุลเอาวัล  ..11
                อบูอัยยูบ  อันซอรีเล่าว่า  “วันหนึ่งฉันได้ไปหาท่านนบี  ฮะซันและฮุเซนกำลังนั่งอยู่บนหน้าอกของท่านนบี   ฉันได้กล่าวว่า  “ท่านรซูลลุลลอฮ  ท่านรักหลานทั้งสองเหลือเกินนะ”  ท่านนบีได้ตอบว่า  “ทำไมจะไม่รักละนี่คือดอกไม้ที่ฉันมีอยู่ในโลกนี้ฮะริษได้รายงานว่าครั้งหนึ่งอาลีกล่าวว่าท่านนบี ได้กล่าวว่าฮะซันและฮุเซนเป็นผู้นำของคนหนุ่มสวนสวรรค์”  ยะซีด บิน อบีซิยาดได้เล่าว่าครั้งหนึ่งท่านนบี ได้ยินฮุเซนร้องไห้  ท่านได้กล่าวกับแม่ของฮุเซนว่า  “เจ้าไม่รู้หรือว่าฉันไม่สบายใจที่ได้ยินเขาร้องไห้ ?
                ฮุเซนได้เข้าร่วมกองทัพที่ถูกส่งไปโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลใน ฮ..51/..671  ยะซีด  บิน  มุอาวิยะฮก็อยู่กับเขาด้วย  ฮุเซนเป็นผู้ปฏิบัติศาสนาอย่างเคร่งครัดและเขาเคยเดินเท้าไปทำฮัจญ์ถึง  20  ครั้งด้วยกันนอกจากนั้นแล้วเขายังเป็นถ่อมตนอย่างมากอีกด้วย  ครั้งหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินทางอยู่บนหลังม้าเขาได้เห็นคนยากจนกลุ่มหนึ่งประมาณ 20 คนกำลังนั่งกินขนมปังอยู่บนพื้น  เขาจึงให้สลามทักทายคนเหล่านั้น พวกเขาได้ตอบรับและเชิญเขากินอาหารร่วมกับเขา  ฮุเซนจึงลงจากหลังม้าไปร่วมกินอาหารกับคนเหล่านั้นและอ่านอัลกุรอานตรงที่กล่าวว่า  แท้จริงอัลลอฮ I ไม่ทรงรักผู้โอหัง  เมื่อทานอาหารกับคนเหล่านั้นเสร็จแล้ว  ฮุเซนก็ได้บอกพวกเขาว่าพี่น้องที่รักพวกท่านได้เชิญฉันและฉันก็รับคำเชิญ  ตอนนี้มากินอาหารกับฉันบ้าง”  หลังจากนั้น  เขาก็ได้นำคนเหล่านั้นมายังบ้านของเขาและสั่งให้รุบาฮคนใช้ในบ้านของเขานำทุกสิ่งที่มีอยู่ในบ้านมาเลี้ยงคนเหล่านี้
                อิบนุ  ยุอัยนาเล่าว่าอับดุลลอฮ  บิน  อบี  ยะซีดได้กล่าวแก่เขาว่าฉันเห็นฮุเซน  บิน  อาลีเมื่อผมและเคราของเขายังดำยกเว้นบางส่วนในด้านบนของเคราเท่านั้น”  อุมัร  บิน  อะตาได้รายงานว่าเขาได้เห็นฮุเซนย้อมผมด้วยวัสมา  (ยาย้อมผมชนิดหนึ่ง) ผมและเคราของเขาดูดำจัด