เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

มุสลิมในความหมายที่เป็นคำว่า มอบตน,ยอมจำนน และมนุษย์ในฐานะที่เป็นเคาะลีฟะห์ อย่างไร



อธิบาย  มุสลิมในความหมายของคำว่า มอบตน, ยอมจำนน นั้น มีความคือว่า บุคคลที่เข้ารับอิสลามนั้นจะมีสภาพ ยอมจำนน ให้แก่อัลลอฮฺ และยอมจำนนทุกสภาพที่เกิดขึ้นว่ามาจากบททดสอบของพระผู้เป็นเจ้านั้นคือ อัลลอฮฺ

            ส่วนคำว่า มอบตน นั้น คือ ยอมสละชีวิตทั้งร่างกายจิตวิญญาณและทรัพย์สินให้แก่ อัลลอฮฺ เพื่อให้เป็นการแสดงความจงรักภักดี  และเพื่ออิสลามของพระผู้เป็นเจ้า
            การยอมจำนน แด่อัลลอฮฺนั้นจะครอบคลุมในหลักพื้นฐาน 3 ประการ คือ
1.อะกีดะห์
2.ชะรีอะห์
3.อัคลาค
            ซึ่งทั้ง 3 ประการข้างต้นนั้นคือ เป้าหมายสูงสุดที่อิสลามและพระผู้เป็นเจ้านั้นทรงพึ่งพอพระทัย
            เมื่อเราสังเกตของความหมายข้างต้นจะเห็นว่า บุคคลที่เข้ารับอิสลามจะมีสภาพที่ยอมจำนนยอมมอบตนให้แก่อัลลอฮฺโดยทันทีไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้นซึ่งความหมายของคำๆนี้นั้นมีความที่กว้างแต่นัยยะของคำนั้นมี ความหมายที่กำชับและชัดเจน การที่มุสลิม ยอมจำนน,ยอมมอบตน ให้แก่อัลลอฮฺนั้นเพื่อแสดงจุดยืนของมุสลิมว่ามุสลิมนั้นยอมจำนนถวายชีวิตเพื่ออัลลอฮฺได้ไม่ใช่ ยอมพลีชีพเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งในอิสลามนั้นบุคคลที่ต้องปกป้องสุดชีวิตนั้นมีเพียง ท่านรอซูล เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้คือเป้าประสงค์ของคำว่ายอมจำนน,ยอมมอบตนเพื่ออิสลามเท่านั้น
            ซึ่งในอัลกุรอานได้กล่าวว่า
ความว่า บรดดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเข้าไปอยู่ในอิสลามโดยทั้งหมดและจงอย่าตามก้าวเดินของไซยฏอน แท้จริงนั้นคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า (อัลกุรอาน ซูเราะห์ อัลบากอเราะฮฺ อายะ 208)

ความว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺ อย่างแท้จริงเถิดและพวกเจ้าจงอย่าตายนอกจากเจ้าในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้น้อบน้อม (มุสลิม) เท่านั้น (อัลกุรอาน ซูเราะห์ อาลิอิมรอน อายะ 102)

            ซึ่งในอายะดังกล่าวจะสอดคล้องกับความหมายของอิสลามโดยตัวของมันเองอย่างชัดแจ้ง
            ประเด็นต่อมา การที่มนุษย์ในฐานะของเคาะลีฟะห์  ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าอัลลอฮฺ ได้ทรงให้มนุษย์ปกครองพื้นแผ่นดินในระบบของเคาะลีฟะห์ และเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องมีความประพฤติที่ดี มีความคุณธรรม มีความรู้ในเรื่องของศาสนาและเรื่องของดุนยาด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารบ้านเมืองบนพื้นแผ่นดินที่อัลลอฮฺทรงมอบให้มนุษย์ปกครองเพื่อจะได้เป็นบททดสอบของมนุษย์ว่าจะเมื่อพระผู้เป็นเจ้ามอบหมายให้มนุษย์ มนุษย์จะปกครองด้วยความยุติธรรมหรือไม่
            สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่นบีอาดัมจนถึงยุคสุดท้ายของโลก(วันกิยามะห์) ที่มนุษย์ได้ปกครองบริหารพื้นแผ่นดินด้วยความยุติธรรมและไม่ยุติธรรมบ้าง
            เมื่อเรารู้ว่าเคาะลีฟะห์นั้นคือ ผู้นำ เมื่อบุคคลใดขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์บรรดามนุษย์จะต้องเชื่อฟังในสิ่งที่เคาะลีฟะห์ให้กระทำแต่หากเคาะลีฟะห์ให้กระทำสิ่งใดที่ขัดต่ออิสลามเราสามารถที่จะไม่ทำตามคำสั่งของเขาได้ ซึ่งในประวัติศาสตร์อิสลามหลังจากที่ท่านนบีมูฮัมหมัดได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺนั้น อิสลามได้มีเคาะห์ลีฟะห์มากมายเหลือเกิน แต่เคาะลีฟะห์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเคาะลีฟะห์ที่มีคุณธรรมและมีคุณสมบัติที่อิสลามได้กำหนดนั้น มีเพียง 4 ท่านด้วยกัน คือ ท่านอบูบักร ท่านอุมัร ท่านอุษมาน ท่านอลี เป็นต้น
            ซึ่งทั้ง 4 เคาะลีฟะนี้นั้นได้รับการยอมรับจากโลกมุสลิมว่าเป็นผู้นำตัวอย่างที่มุสลิมจะต้องมีให้ได้ในโลกปัจจุบันนี้เพื่อให้ก้าวขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์บริหารปกครองพื้นแผ่นดินให้มีความยุติธรรมและขจัดสิ่งต้องห้ามต่างๆที่เกิดในปัจจุบัน
            ส่วนการได้มาของเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องได้มาโดย การเลือกตั้งมิใช่การแต่งตั้ง ซึ่งมีระบุในหะดีษของอิหมามมุสลิม บทที่ 33 หน้า 327 หะดีษบทที่ 1790  (ฉบับแปลไทย โดย จารึก เซ็นเจริญ และมุฮัมมัด พายิบ แปล) แต่ผู้เขียนจะไม่ยกตัวบทหะดีษเพราะตัวบทของหะดีษยาวซึ่งอาจจะไม่พอกับการเขียนในข้อเขียนนี้แต่หากไม่แน่ใจก็สามารถเปิดดูตามทีผู้เขียนได้บอกหลักฐานของตัวหะดีษได้ข้างต้น
            ประเด็นต่อมา การได้มาของเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นเพราะอะไรหรือเพราะอัลลอฮฺ แต่งตั้งมนุษย์ที่เป็นมุมินเท่านั้นมนุษย์ที่ปฏิเสธความศรัทธา (กาฟิร) ไม่สามารถที่จะขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์อิสลามได้ จริงอยู่ที่มนุษย์เป็นเคาะลีฟะห์ แต่เงื่อนไขของการเป็นเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องดำรงอยู่ในอิสลามและสามารถนำประชากรมุมินไปสู่แนวทางของอิสลามได้โดยปลอดภัย
            ต่อมา เมื่อสามารถหาบุคคลที่ขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะได้แล้วนั้น หากเคาะลีฟะห์เป็นบุคคลที่อยุธิรรมหรือทำให้บรรดาผู้ศรัทธาเกิดความขัดแย้งในอัลกุรกล่าวว่าเมื่อเจ้าเกิดความขัดแย้งจงกลับไปหาอัลลอฮฺและรอซูล นี่ !! แหละคือจุดยืนของอิสลามที่มีต่อระบบของเคาะลีฟะห์เมื่อมนุษย์เกิดความขัดแย้งกันจงกลับไปหาอัลลอฮฺและรอซูล จริงอยู่ที่อัลกุรอานกล่าว จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ เชื่อรอซูล และเชื่อฟังผู้นำ  แต่เมื่อเราเกิดความขัดแย้งต่อผู้นำอัลกุรอานสั่งให้เรากลับไป อัลลอฮฺและรอซูล อัลกุรอานไม่ได้บอกว่าให้กลับไปหาผู้นำ นี่แหละคือความประเสฐิของอัลกรุอานที่ถูกประทานลงมาเพื่อเป็นทางนำให้แก่มวลมนุษย์ชาติ
            และหากเราสังเกตสังคมปัจจุบัน มุสลิมเราในหมู่บ้านในตำบล เป็นต้น มีจำนวนไม่น้อยที่ก้าวขึ้นมาเป็น ผู้ใหญ่บ้าน นายก อ... เป็นต้น แต่เมื่อก้าวขึ้นรับต่ำแหน่ง แทนที่จะเป็นแบบอย่างให้แก่ประชาชนให้ท้องถิ่นกลับทำตัวงี่เง่า ไร้ประโยชน์  โกงบ้านโกงเมือง ซึ่งเมื่อเรา
มองดูข้างต้น นากยก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ล้วนเปรียบเสมือนเคาะลีฟะห์หน่วยเล็กๆที่จะพัฒนาก้าวขึ้นไปเป็นเคาะลีฟะห์ของอิสลามได้ แต่กลับทำตัวไม่ได้เรื่องจนไม่สามารถพัฒนาอิสลามไปเจริญก้าวหน้าสวนทางกลับกันมัวทำให้อิสลามกลับตกต่ำลงไปทุกที สิ่งนี้แหละทีเราต้องช่วยกันพัฒนาการเป็นเคาะลีฟะห์ ปลูกฝังจิตวิญญาณของอิสลามตั้งแต่เยาวชนเพื่ออนาคตข้างหน้าเราจะได้มีเคาะลีฟะห์ของคนต่อไปให้จงได้
            ท้ายนี้การที่มุสลิมจะก้าวขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์นั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องมอบตนให้แก่อัลลอฮฺและยอมจำนนในสิ่งที่อิสลามได้บอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีในอิสลามและสามารถนำบรรดามุนมินไปสู่ความสัจธรรมที่เป็นจริง เหมือนคำที่ว่านี้คือ เมื่อความจริงมาปรากฏความเท็จย่อมมลายหายสิ้นไป