เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประวัติ ซัยยิด กุตุบ





อัชชะฮีด  ซัยยิด  กุตุบ

ซัยยิด  กุตุบ   ถือกำเนิดในปี  1906  ในหมู่บ้านโมชาห  ซึ่งอยู่ในเขตแคว้นอาสิยุหของอิยิปต์ มารดาของเขาชื่อ      ฟาตีมะฮ   นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความเชื่ออย่างมั่นคงในศาสนาและศรัทธาในอัลกุรอาน  นางปรารถนาที่จะเห็นลูกๆ  ได้ท่องจำคัมภีร์ของผู้เป็นพระเจ้า  ในคำนำของหนังสือ  อัล-ตัสวีร อัลฟันนี  ฟีอัลกุรอาน ( ถ้อยคำอันวิจิตรงดงามของอัลกุรอาน )  ซึ่งซัยยิดเขียนขึ้นเพื่ออุทิศแก่มารดาของเขานั้น  เขากล่าวว่า  ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของแม่ก็คือ  ต้องการให้พระผู้เป็นเจ้าได้เปิดหัวใจของผม  เพื่อให้ผมสามารถท่องจำคัมภีร์ของพระองค์  และผมก็ได้นั่งท่องอัลกุรอานต่อหน้าแม่ด้วยท้วงทำนองอันไพเราะ  จนผมสามารถท่องจำอัลกุรอานได้หมด  และทำให้ความปรารถนาของแม่บรรลุผล”
บิดาของเขาชื่อ  อิบรอฮิม  เป็นชาวนาผู้ซึ่งมีความศรัทธาอย่างมั่นคงในอิสลาม  ในหนังสือ  มุชาฮิด  อัล-กิยามะฮ  ฟีอัลกุรอาน ( วันแห่งการฟื้นขึ้นมาใหม่ในอัลกุรอาน )  ซึ่งซัยยิด  กุตุบ   เขียนอุทิศให้แก่บิดาของเขานั้น  เขาเขียนว่า  เมื่อผมเป็นเด็ก  สิ่งที่พ่อได้สร้างให้ฝังอยู่ในหัวใจและความสำนึกของผมนั้น  ก็คือ  ความเกรงกลัวในวันสุดท้าย  พ่อไม่เคยดุผม  แต่ชีวิตประจำวันของพ่อเป็นตัวอย่าง  สำหรับผมในเรื่องของมนุษย์ผู้ที่ระลึกอยู่เสมอถึงวันแห่งการตอบแทน”
การศึกษา ในวัยเริ่มแรกของซัยยิดเป็นไปอย่างๆ  ภายในเขตหมู่บ้านของเขา  เขาสามารถท่องจำอัลกุรอานได้ขึ้นใจ  เมื่อเขาเป็นเพียงเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง  ในสมัยนั้นการท่องจำอัลกุรอานเป็นเรื่องธรรมดาในเด็กๆ  ที่มาจากครอบครัวที่เคร่งครัดในศาสนาของประเทศอิยิปต์   โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่ต้องการส่งลูกๆ ของตนไปยังอัล-อัซฮัร  บิดามารดาของซัยยิดตระหนักอยู่เสมอกว่า  ของขวัญอันล้ำค่าที่เขาสามารถให้แก่บุตรชายได้นั้นก็คือ  การศึกษา   ดังนั้นครอบครัวของเขาจึงย้ายไปยังฮัลวาน  ซึ่งอยู่ชานเมืองไคโร  และซัยยิดก็ได้เข้าเรียนในทัจฮิสยะฮ  ดาร  อัล-อูลูม  แห่งไคโร ( ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยแห่งไคโร) ซึ่งสอนในเรื่องวิทยาศาสตร์  และศิลปศาสตร์สมัยใหม่  ซัยยิดเข้าศึกษาในดาร อัล-อูลูมในปี  1929  และสำเร็จปริญญาบัณฑิตทางการศึกษาในปี  1933  หลังจากจบการศึกษาไม่นาน  ซัยยิดก็ได้ถูกเลือกให้ไปเป็นผู้บรรยายในหมาวิทยาลัยแห่งนี้  และอีกไม่กี่ปีต่อมาเขาก็ได้รับเลือกเป็นผู้ตรวจการโรงเรียนต่างๆ ขึ้นกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาของรัฐบาลอิยิปต์
ในระหว่างที่เขาทำงานอยู่นั้น  ท่านรัฐมนตรีก็ได้ส่งเขาไปศึกษาต่อในอเมริกา  ในแขนงวิชาทางการศึกษา   ซัยยิดอยู่ในอเมริกา ปี  เขาได้แบ่งเวลาของเขาอยู่ในวิทยาลัยครูวิลสัน  ในวอชิงตัน  วิทยาลัยกรีลีย์  ในโคโรลาโด  และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในคาลิฟอร์เนีย  ในโอกาสนี้เขายังได้เดินทางไปเยี่ยมเมื่องใหญ่ๆ หลายแห่งในอเมริกา  และยังได้ไปพักอยู่ในอังกฤษ  สวิตเซอร์แลนและอีตาลีอยู่  2-3  สัปดาห์   ชีวิตในอเมริกาเปิดดวงตาของเขาให้มองเห็นถึงความพินาศย่อยยับของพวกวัตถุนิยมที่ปราศจากพระเจ้า  ในแง่ของเจตนารมณ์  สังคม  และชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชน  และเมื่อเขากลับมา  เขาก็ยิ่งมีความเชื่อมั่นอย่างมั่นคงว่า  เฉพาะอิสลามเท่านั้นที่จะปกป้องมนุษย์ใหืพ้นจากห้วงเหวแห่งการทำลายล้าง  ซึ่งเกิดขึ้นอย่างสยดสยอง ถูกลากจูงโดยความโลภแห่งวัตถุ
หลังจากที่ซัยยิดกลับถึงอิยิปต์ได้ไม่นาน  เขาก็ได้เข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเพื่ออิสลามของอิยิปต์   อควาน  อัล  มุสลีมูน ( ภราดรภาพมุสลิม ) หลังสงครามโลกอิควานก็ได้เป็นตัวตั้งตัวดีในการที่จะให้อิยิปต์เป็นเอกราช  จากจักรวรรดินิยมของอังกฤษ  จากเหตุนี้เองทำให้จักรวรรดินิยมอังกฤษเกลียดชังขบวนการนี้มาก  แต่ความเคลื่อนไหวของอิควานกลับเพิ่มมากขึ้น  และภายในระยะเวลา  2 ปี  สมาชิกของอิควานก็เพิ่มเป็น  2 ล้าน  แสนคน  ในวันที่  12  กุมภาพันธ์  1949  หะซัน  อัล-บันนา  หัวหน้าของกระบวนการอิควานได้ถุกลอบสังหาร  และองค์กรนี้ก้ได้ถูกสั้งห้ามมิให้มีการเคลื่อนไหวอีกกต่อไป  ช่วงระยะเวลาแห่งการตามประหัตประหารนี้สิ้นสุดลง  เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี   1952   แตการตามล่าและการลำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะขึ้นบุคคลซึ่งอยู่ในระดับผู้นำของอิควาน  คน   คือ  หะซัน  อัล-ฮุดซัยบี  ซึ่งเป็นหัวหน้าขององค์กร  อับดุลกอเดร  เอาดะฮ   เลขาธิการ  แลซัยยิด  กุตุบ  หัวหน้าฝ่ายวิชาการและนักเขียนผู้มีอุดมการณ์ของอิควาน  เมื่อคำสั่งถูกยกเลิกในปี  1952  อิควานก็ได้สร้างองค์กรใหม่  และได้ลงมือกระทำตามโครงการการให้การศึกษาครั้งยิ่งใหญ่และการปฏิรูปสังคม  ซัยยิด  กุตุบ  เลือกให้เป็นคระกรรมการฝ่ายบริหาร  และเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการ การเชิญชวนสู่อิลสาม “  ( ดะวะฮ  )
ในระหว่างปี  1953  เขาได้เข้าร่วมการประชุมหารือในซีเรียและจอร์แดน  และได้ขึ้นปาฐกถาครั้งสำคัญในเรื่อง  ความจำเป็นของการฝึกอบรมทางศีลธรรม  ก่อนที่จะมีการฟื้นฟูสังคม ในเดือนกรกฎาคม  1954   ซัยยิดก็ได้เป็นหัวหน้าฝ่ายบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์อิควานชื่อ  อิควาน  อัล-มุสลีมูน  แต่ภายในระยะเวลาเพียง  เดือนเท่านั้น  หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งของพันเอก อับดุล นาซิร ประธานาธิบดีแห่งอียิปต์ เนื่องจากการที่ได้พิมพ์คำวิจารณ์สนธิสัญญาแองโกร-อียิปต์ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1954 หลังจากนั้น อับดุล นาซิรก็ได้เพิ่มความเกลียดชังต่อขบวนการอิควานมากยิ่งขึ้น  เนื่องจากอิควานมีอุดมการณ์ที่ต่อต้านรัฐบาล  องค์กรนี้จึงถูกสั่งปิด  บรรดาผู้นำขบวนการถูกจับกุม  และถูกประหารชีวิตถึง 6 คน ในจำนวนนี้มีอับดุลกอเดร เอาดะฮรวมอยู่ด้วย  บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์รายวัน อัล-มิสริ นายอะหมัด อับดุล ฟัตตะฮ  ประมาณว่าสมาชิกของขบวนการที่ถูกจับกุมมีประมาณ 5 หมื่นคน  บุคคลเหล่านี้ได้ถูกคุมขังโดยไม่มีการพิจารณาความผิดเลย   ทรัพย์สมบัติของพวกเขาถูกยึดและครอบครัวถูกรังควาน  ซัยยิด กุฏบ์เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น   ในระยะเวลาของการจับกุมนั้นเขาได้ทรมานจากพิษไข้และถูกนำตัวไปยังเรือนจำ  และบรรดาเจ้าหน้าที่ของเรือนจำนั้นได้พากันเข้าทำร้ายร่างกายทุบตีเขา  โดยปราศจากความเมตตาและยังได้ส่งสุนัขไปยังห้องขังเพื่อให้ทำร้ายและลากเขาไปรอบๆห้อง  ซัยยิดถูกทำทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆเป็นเวลาถึง 7 ชั่วโมง  แต่กระนั้นด้วยความศรัทธาและความอดทนเขา  ทำให้เขาเพียงแต่พูดเหมือนเช่นท่านบิลาลว่า อัลลอฮผู้ยิ่งใหญ่  และการสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮแต่เพียงพระองค์เดียว”  การทำทารุณกรรมต่างๆนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 1955 เมื่อซัยยิดถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลทหาร  เพื่อเข้ารับการรักาาโรคต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องจากการถูกทรมานโดยปราศจากความเมตตา ในวันที่ 13 กรกฎาคม 1955 “ศาลประชาชนได้ตัดสินให้ส่งเข้าไปทำงานเป็นกรรมกร  โดยใช้งานอย่างหนักเป็นเวลา 15 ปี  เมื่อระยะเวลาแห่งความยากลำบากผ่านไปได้ 1 ปี  ก็ได้มีผู้ถือข่าวมาจาก อับดุล นาซิร เสนอที่จะปล่อยเขาให้เป็นอิสระ  และให้เขาดำรงตำแหน่งสูงในกระทรวงศึกษา  เพียงแต่เขาเอ่ยปากกล่าวขอโทษเท่านั้น  แต่คำตอบที่ได้จากซัยยิด  เป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถจะลบได้จากประวัติศาสตร์ของอิสลามจนตลอดกาล  เขากล่าวว่า ฉันประหลาดใจเหลือเกินกับมนุษย์ที่มาขอร้องให้ผู้ถูกกดขี่ร้องขออภัยและขอความกรุณาจากผู้กดขี่  ด้วยพระนามของอัลลอฮ  แม้ว่าเขาเอ่ยคำขอโทษเพียงไม่กี่คำจะช่วยฉันให้พ้นจากความตายบนตะแลงแกงแล้ว  ฉันก็จะไม่มีวันกระทำและฉันจะกลับไปพบพระผู้อภิบาลของฉันด้วยความภาคภูมิใจและพระองค์ก็จะทรงอยู่กับฉัน” 
ข้อเสนอนี้ถูกนำมาครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  แต่คำตอบอันไม่เคยเปลี่ยนแปลงของซัยยิดก็คือ  ถ้าฉันถูกจองจำด้วยความยุติธรรมแล้ว  ฉันก็ยินดีรับโทษทัณฑ์ด้วยความถูกต้องและเป็นธรรม  แต่ถ้ามันเกิดขึ้น  ด้วยความอยุติธรรมแล้ว  ฉันก็ไม่สามารถคุกเข่าลง  เพื่อร้องขอความเมตตาต่อหน้าความชั่วร้ายและความอยุติธรรมเหล่านั้นได้”  ซัยยิด กุฏบ์ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำหลายแห่งในอียิปต์จนถึงกลางปี 1964 สามปีแรกของการถูกคุมขังนั้นเต็มไปด้วยการทำทารุณกรรมต่างๆ  แต่ต่อมาการทำทารุณกรรมเหล่านี้ก็ลดลง  เขาได้รับอนุญาตให้ญาติมิตรเข้าเยี่ยม  และได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น  ทำให้สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้  ซัยยิดใช้เวลาหลายปีในการถูกคุมขัง  เขียนคำอธิบายความหมาย (ตัฟซีร) กุรอานให้ชื่อว่า ฟีซีลาล อัล-กุรอาน (ในร่มเงาแห่งอัล-กุรอาน) ในปี1964 เขาได้รับการปลดปล่อย  เนื่องจากคำขอร้องของอับดุล ซาลาม อรีฟ  ประธานาธิบดีอีรัก  เมื่อครั้งได้เดินทางมาเยือนอียิปต์   อย่างไรก็ตามภายในเวลา 1 ปีของการถูกปลดปล่อยนั้น  เขาก็ถูกจับอีกครั้งหนึ่ง  พร้อมกับน้องชายมูหัมหมัด  และน้องสาวอีก 2 คน คือ ฮามีดะฮ และ อามีนะฮ  ในครั้งนี้พวกเขาถูกกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นผู้ชี้นำให้ใช้กำลังในการล้มล้างรัฐบาล  นอกเหนือจากครอบครัวของซัยยิดแล้วยังมีผู้ที่ถูกจับกุมร่วมกับเขาอีกประมาณ 2 หมื่นคน  ซึ่งมีผู้หญิงรวมอยู่ด้วยถึง 700 คน ช่วงเวลาแห่งการประหัตประหารนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่ออับดุล นาซิร กลับจากการเยือนมอสโคว์  และเขาได้ประกาศว่า  ขบวนการอิควาน อัล-มุสลีมูน มีแผนที่จะทำการลอบสังหารเขา  ดังนั้นเขาจึงต้องจับกุมบุคคลในขบวนการนี้  ในปีต่อมากฎหมายของอียิปต์ (มาตรา 911,1966) ได้ให้สิทธขาดแก่ประธานาธิบดีในการจับกุมบุคคลใดก็ตามที่เขาเห็นชอบโดยไม่ต้องมีการพิจารณาพิพากษาใดๆอีก  ทั้งยังสามารถยึดทรัพย์สมบัติและสิ่งอื่นๆของบุคคลได้  ในตอนแรกมีการประกาศว่าจะให้มีการพิจารณาโดยเปิดเผย  แต่เมื่อพยานหลายคนได้เปิดเผยถึงความป่าเถื่อนของคุกและการทำทารุณกรรมที่เหมือนมิใช่การกระทำของมนุษย์แล้ว  การพิจารณาโทษต่างๆจึงถูกสั่งห้ามมิให้มีการเปิดเผย
            ต่อมาผู้แทนสมาคมทนายความของฝรั่งเศษ  วิลเลี่ยม ทอล์บ  กับทนายความชื่อดังแห่งสวิสเซอร์แลนด์ เอ.เจ เอ็ม แวนดัล  และทนายความอีกหลายคนจากโมรอคโคและซูดานได้ร้องขอต่อรัฐบาลให้ปลดปล่อยบรรดาผู้ถูกจับกุมเหล่านี้  แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ  องค์กรที่รู้จักกันในนามของ “องค์การนิรโทษกรรมนานาชาติ”  ได้ส่งสมาชิกรัฐสภาอังกฤษ  นายปีเตอร์  อาค์เชอร์  มายังอียิปต์  และเขาได้รายงานอย่างแจ้งชัดว่าบรรดาผู้ถูกจับกุมได้รับการทรมานต่างๆและขั้นตอนในการพิจารณาคดีของศาลทหารอียิปต์นั้น  ตรงข้ามกับหลักการของความยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง
            ในปี 1966  ซัยยิด กุฏบ์และเพื่อนของเขาอีก 2 คน ก็ถูกประหารชีวิต  และการประหารนี้กระทำขึ้นในตอนเช้าของวันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 1966  โดยไม่คำนึงถึงเสียงร่ำไห้และคำคัดค้านจากทุกมุมของโลกมุสลิม 3 : 169 “และจงอย่ากล่าวถึงผู้ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮว่าเขาตาย  เขายังมีชีวิตอยู่ได้รับเครื่องยังชีพจากพระผู้อภิบาลจากพวกเขา” 
            ซัยยิด กุฏบ์ได้เขียนหนังสือไว้มากกว่า 20 เล่ม มีบางเล่มที่เกี่ยวพัน  เขาเริ่มต้นอาชีพการประพันธ์ด้วยการเขียนหนังสือสำหรับเด็ก  ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวประวัติของบรรดาศาสดาและนิทานต่างๆจากประวัติศาสตร์อิสลาม  ตื่นมาเมื่อความสนใจของเขาเปลี่ยนไป  เขาจึงได้เขียนเรื่องสั้นไว้หลายเรื่อง  บทกวี  รวมทั้งบทวิเคราะห์วิจารณ์ในวารสารต่างๆ  แต่เขาไม่เคยหันห่างจากอัล-กุรอาน  และในช่วงต้นๆ ของชีวิตการประพันธ์  ซัยยิดก็ได้เขียนหนังสือสองเล่มคือ ถ้อยคำอันวิจิตรงดงามของอัลกุรอาน   และ วันแห่งการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในอัลกุรอาน”  ซึ่งกล่าวเน้นถึงความมหัศจรรย์แห่งลีลาของถ้อยคำ  และศิลปอันงดงามของอัลกุรอาน  แม้ว่าช่วงที่อยู่ในอเมริกานั้น  ซัยยิดจะยังมิได้เข้าร่วมกับขบวนการเคลื่ออนไหวเพื่ออิสลามในอิยิปต์  แต่การอยู่ในอเมริกาได้สร้างความฝังใจอันล้ำลึกให้แก่เขา  และเมื่อเขากลับมา เขามีความมั่นใจว่า  ความเจริญแห่งวัตถุของตะวันตก  ลัทธิคอมมิวนิสต์  เป็นเพียงเหตุผลที่เลอเลิศทางตรรกวิทยาเท่านั้น  ซึ่งปราศจากคุณค่าพื้นบานแห่งความเป็นมนุษย์  และกำลังชักนำมนุษย์สู่การทำลายล้างทางเจตนารมณ์สังคม  และวัตถุ   ในเวลาเดียวกันเขาก็หันมาศึกษาความหมายแห่งคำสอนของอิสลามลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ซัยยิดได้กระโดดเข้ามาศึกษาอัล-กุรอาน  ซึ่งเดี๋ยวนี้มิใช่เพียงการรู้ถึงคุณค่าแห่งภาษาเท่านั้น  แต่เพื่อให้มีความเข้าใจความหมายของมัน  ทุกวันเขาใช้เวลา   8-9   ชั่วโมง  ในการศึกษาหนังสือเกี่ยวกับอิสลาม  ในปี1948  เขาได้ตีพิมพ์ผลงานอันยิ่งใหญ่ชิ้นแรกของเขา  อัล-อะดาลัด  อัล-อิตติมมอียะฮ  ฟี  อัลอิสลาม ( สังคมแห่งความยุติธรรมในอิสลามหลังจากนั้นเขาได้เริ่มงานอธิบายความหมายของอัล-กุรอาน  ในร่มเงาแห่งอัลกุรอาน   ซซึ่งเสร็จสมบูรณ์ลงในระหว่างที่เขาอยู่ในคุก  หนังสือเล่มนี้มิใช่เป็นเพียงการคำอธิบายความหมายในแง่ของวิชาการ  และมีค่าน้อยมากในแง่ของขนบธรรมเนียมประเพณี  แต่หนังสือเล่มนี้แสดงออกอย่างเป็นอิสระของความคิดและความรู้สึก  ซึ้งได้ปลุกจิตใจของผู้เขียนขึ้น  โดยการอ่านโองการเหล่านั้นด้วยวิธีการนี้  เขาจึงประสบความสำเร็จอย่างน่าประหลาดในการแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตในตัวอกษรของอัล-กุรอาน
ตัวอย่างของการอธิบายความหมายของอัล-กุรอานนี้  อยู่ในบทสุดท้าย    ไมล์สโตนส์” (หลักชัย อิสลาม)  ซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับซูเราะฮ  อัล-บูรูจญ์   ( ดวงดาว)
หนังสือเด่นๆ ของท่านซัยยิด  กุตุบ
The  qur,anic  Imagery
The  day  of   Judgement
Its  images  in  the  qur,an
World  Peacr  and  Islam
The  Battle  between  Islamic  and  Capitalism
Islamic  Studies
The  Religion
The  characteristics  of  the  Islamic  and  Elements           
Islam and the problem of civilization
Fi-Dhilal-il-Qur-an
คมวาทะของ ซัยยิต กุฎุบ
1.  ระบบอิสลามจะเป็นจริงขึ้นมาได้ก็ด้วยการที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งเป็นผู้แบกภารกิจของระบบอิสลามเป็นกลุ่มที่มีศรัทธาในอิสลามอย่างสมบูรณ์เป็นกลุ่มที่ดำรงอิสลามไว้อย่างซื่อสัตย์ตามความสามารถของตนเองทั้งทุ่มเทความพยายามให้อิสลามบังเกิดขึ้นในจิตใจของผู้อื่นและในชีวิตของพวกเขาเองเป็นกลุ่มที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่ เพื่อวัตถุประสงค์ข้อนี้ต่อสู้กับความอ่อนแอที่ผลักดันให้เขาขัดขวางทางนำของอัลลอฮฺแล้ว ต่อมาชนกลุ่มนั้นจะบรรลุความสำเร็จในการที่จะทำให้ครรลองหรือระบบอิสลามเป็นจริงขึ้นมา
2.  ผู้ใดที่ทบทวนข้อเขียนทางปรัชญาที่พยายามอธิบายความเป็นอยู่ตำแหน่งและเป้าหมายในการดำรงอยู่ของมนุษย์แล้ว เขาจะพบเรื่องไร้สาระทับถมกันเป็นกองพอๆกับเรื่องเสกสรรปั้นแต่งทั้งหลายมันมากจนทำให้เรารู้สึกประหลาดว่าความรู้เช่นนี้พรั่งพรูออกมาจากปรัชญาได้อย่างไรกัน พวกเขาลืมนึกไปว่าปรัชญา ก็คือ มนุษย์เรานี้เอง มนุษย์นักปรัชญาเหล่านั้นเป็นผู้ตะเกียกตะกายเข้าไปสู่ขอบเขตที่ตนเองไม่มีความรู้นอกจากเศษธุลี ปัญญาที่อัลลอฮโปรดประทานให้เพื่อชี้นำไปใช้ในเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องนี้
3.      การทำงานและไม่นิ่งดูดาย เป็นลักษณะหนึ่งของจริยธรรมในอิสลาม อิสลามถือว่าการไม่ทำงานและการเพิกเฉยต่อหน้าที่นั้น เป็นการไร้มารยาทและไร้ศีลธรรมอย่างหนึ่ง
4.      การดิ้นรนต่อสู้เพื่อสร้างคุณธรรมและต่อต้านความชั่วร้ายเป็นคุณธรรมและจริยธรรมข้อหนึ่งในอิสลาม
5.      อิสลามถือว่าบาปกรรมและความชั่วช้า เป็นเครื่องพันธนาการที่ผูกมัดจิตใจของมนุษย์ เป็นลูกตุ้มถ่วงมนุษย์ลงสู่โคลนตม
6.      ช่วงแรกของยุคอิสลาม สามารถสร้างบุรุษตัวอย่างขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ในชีวิตจริงของมนุษย์บุคคลเหล่านั้น เป้นผู้เพรียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่งในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฏมาเลยไม่ว่าภายหลังหรือก่อนหน้านั้นเป็นรูปแบบที่สามารถทำให้บุคคลิกของมนุษย์ในระบบอื่นๆ ภายใต้รัศมีของบุคคลเหล่านั้นเป็นเสมือนคนแคระ เล็กๆที่เป้นสิ่งที่มีชีวิตที่ยังไม่สมบูรณ์หรืออย่างน้อยก็ยังมีส่วนประกอบต่างๆยังไม่สมบูรณ์ บุคคลตัวอย่างที่อิสลามได้ผลิตออกมาในช่วงเวลานั้น มิใช่นับด้วยจำนวนนิ้วมือ แต่เป็นมหาชน
7.   สังคมมุสลิมอยู่ในระดับที่สูงต่ำ  แตกต่างกันไปเป็นระยะเวลาหนึ่งพันกว่าปีแต่ทั้งหมดยังสูงกว่า     ระดับสังคมอื่นทั่วโลก
8.  มนุษย์จะต้องรวมตัวกันบนพื้นฐานที่มีคุณสมบัติที่มีเกียรติที่สุดคือความศรัทธามิใช่บนพื้นฐานที่สัตว์ทั่วไปใช้ร่วมกัน เช่น หญ้า  ทุ่งหญ้า อาณาบริเวณหรือกำแพง  ในโลกนี้มีพรรคอยู่สองพรรค  คือพรรคของอัลลอฮและพรรคของชัยฏอน  อุมมะฮ์คือ  กลุ่มชนที่รวมตัวกันด้วยความศรัทธาอย่สงเดียวกัน   ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นชาติขึ้นมา  ถ้าปราศจากศรัทธาก็ไม่มีชุมชน  เพราะประชาชนไม่มีสิ่งเชื่อมเข้าด้วยกัน  แผ่นดิน  เชื้อชาติ  เชื้อสาย  ภาษา  และผลประโยชน์ทางวัตถุหรือทั้งหมดรวมกัน  ไม่เพียงพอในการสร้างชุมชนหนึ่งๆขึ้นมา  นอกจากจะมีศรัทธาเป็นแกนกลางเท่านั้น
9.  มนุษย์ควรได้รับความทุกข์ทรมานและอ่อนระโหยจากการแบกภาระของความเจริญทางวัตถุและความหรูหราฟุ่มเฟือย  เป็นความจริงที่ว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวง  ความเสื่อมทรามทางศีลธรรม  โรคประสาท  โรคจิต  สมองวิปริตและเพศวิปริตกำลังฉีกหน้าอารยธรรม  กำลังผลาญผล่าประชาชาติต่างๆและทำลายมนุษย์  มนุษย์จะต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะความชั่วร้าย  การทุจริตและความหายนะ
10.   อิสลามที่เหล่าอเมริกันชนและพันธมิตรปรารถนานั้นไม่ใช่อิสลามที่มาต่อต้านการยึดครองหรือล่าอาณานิคม  และไม่ใช่มาเผชิญหน้ากับการละเมิดและอธรรมทั้งปวง  แต่อิสลามที่พวกเขาต้องการมันคืออิสลามที่ไม่กระทบต่อผลประโยชน์และปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาไม่อยากเห็นอิสลามในความหมายของการปกครอง  พวกเขาต้องการเห็นอิสลามในรูปของการถามตอบข้อปลีกย่อย  เช่นการอาบน้ำนมาซเขาไม่อยากไม่อยากให้อิสลามเข้ากระบวนการทางการเมือง  เศรษฐกิจ  สังคม การเงิน  การคลัง  ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นความต่ำต้อยและน่าเจ็บปวดที่สุด.
            จากข้อเขียนของซัยยิด กุฏบ์  ครั้งหนึ่งในการประชุมรัฐสภาอังกฤษ  อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกรดตัน กล่าวสุนทรพจน์  พร้อมกับถือพระคัมภีร์อัล-กุรอ่าน หนึ่งเล่มอยู่ในมือมีความว่า ตราบใดที่หนังสือเล่มนี้อยู่ในมือประชาชาติมุสลิม  ท่านไม่มีวันยึดครองหรือใช้อิทธิพลเหนือพวกเขาได้ง่ายนัก”  เกรดตันคงทราบและเข้าใจดีถึงพลังของอิสลามที่แฝงอยู่ในนั้น  ความเข้าใจของเกรดตันเป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าความเข้าใจของชาวมุสลิมบางคนเสียอีก  เขาตระหนักดีว่าคำสอนของอิสลามนั้น มีความลับอันหนึ่ง  คือพลังแห่งการไม่ยอมแพ้และจำนนพลังแห่งการต่อสู้และต่อต้านและพลังแห่งการสามัคคีซึ่งพร้อมที่จะท้าทายชาวตะวันตกด้วยอาวุธสมัยใหม่ตลอดจนความเจริญของเขาแต่น่าเสียดายที่ชาวมุสลิมเองยังไม่รู้สึกและเข้าใจเหมือนอย่างที่จักรวรรดินิยมอังกฤษเข้าใจ ยิ่งกว่านั้นบางคนยังมองข้ามมรดกอันลำค่านั้นเสียเลยและไม่สนใจต่อพลังอิสลามที่แฝงอยู่ในนั้น ถึงกับมีบางคนมองศาสนาเป็นของครำครึล้าสมัยดูถูกความศรัทธาถือว่าเป็นเรื่องของคนโง่
                จากบุคคลประเภทนี้แหละที่จักรวรรดินิยมตะวันตกแทรกซึมเข้ามาเป็นบ่อนทำลายสร้างความพ่ายแพ้แก่ประชาชาติมุสลิมจนกระทั่งอาณาจักรอิสลามต้องพังพินาศย่อยยับลงทำให้ประชาชาติมุสลิมถูกต้อนไปไว้แนวหลังในขบวนการความเจริญเติบโตของโลกปัจจุบันทั้งที่โลกมุสลิมเป็นผู้บุกเบิกอารยธรรมของโลกมาก่อนในอดีตไม่มีวิธีใดเลยที่พวกจักรวรรดิและขบวนการคริสเตียนนำมาใช้ในการพยายามที่จะทำลายล้างอิสลามแต่ถึงแม้พวกเขาจะพยายามสักเพียงใดก็ตามปรากฏว่าอิสลามยังยืนหยัดอยู่อย่างแข็งแกร่งและมั่นคงและเป็นพลังอันลึกลับอยู่ในบรรดาประเทศอิสลามและในดวงใจมุสลิม
                มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่าพลังของอิสลามได้ดับมอดไปแล้วตลอดการหาบางครั้งจะได้ยินเสียงเรียกร้องไปสู่การฟื้นฟูอิสลามแต่เสียงนั้นไม่ผิดอะไรกับเสียงถอนหายใจเฮือกสุดท้ายของคนใกล้ตาย แต่ความจริงแล้วการเข้าใจเช่นนั้นเป็นการเข้าใจที่ผิดเพราะอิสลามได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอิสลามยังเป็นพลังที่ไม่ตาย เป็นพลังที่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความสดใสและสมบูรณ์เต็มที่นั้นเป็นความจริงที่ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ เป็นความจริงที่บังคับให้จักรวรรดินิยมตะวันตกต้องทบทวนเสียใหม่เกี่ยวกับท่าทีต่างๆที่มีต่อประเทศอิสลาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น