กระบวนทัศน์อิสลามเกี่ยวกับผู้หญิงตั้งอยู่บนหลักการอิสลามที่สำคัญสามหลักการคือ
หลักการนัฟซุนวาฮีดะฮฺ หลักการอิสติคลาฟและหลักการอีมานและอามัล ซึ่งหลักการทั้งสามจะเป็นกรอบในการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับผู้หญิงในอิสลาม
1. หลักการนัฟซุนวาฮีดะฮฺ (One
Soul)
อัลกรุอานเป็นทางนำ(ฮุดา)
และแนวทางสำหรับมนุษย์ที่มีความยำเกรง(ตักวา) ต่ออัลลอฮฺ(อัลกรุอาน2:2)อัลกรุอานในฐานะที่เป็นทางนำจะประกอบด้วยสาระสำคัญสามส่วนคือ
ส่วนที่เกี่ยวกับการศรัทธา(อะกีดะฮฺ/อีมาน)
ส่วนที่เกี่ยวกับหลักการจริยธรรมและกฎหมาย(อัคลาสและชะรีอะฮฺ)
และส่วนที่เป็นกฏเกณฑ์ทางสังคมและรัฐ(Abdurrahman 1998)
ความหมายโดยอัลกรุอานคือ
ครรลองในการจัดการชีวิตของมุสลิมให้สอดคล้องกับวิถีแห่งอิสลามที่ครอบคลุมในทุกมิติอย่างครบถ้วน
อัลกรุอานจึงเป็นทั้งทางนำและครรลองในการจัดการชีวิตมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด
หลักการที่ได้กำหนดโดยอัลกรุอานจึงเป็นบรรทัดฐานที่มุสลิมทุกคนต้องเชื่อและปฏิบัติ
หลักการ
“นัฟซุนวาฮีดะฮฺ” เป็นหลักการเบื้องต้นที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในอัลกรุอาน
ความว่า มนุษยชาติทั้งหลาย จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาชีวิตหนึ่ง
(อัลกรุอาน 4:1)
เป็นหลักการที่อัลลอฮฺได้กำหนดสถานะของผู้หญิงให้มีความเท่าเทียมกับชายและเป็นที่มาของหลักการสถานภาพ
หลักการศักดิ์ศรี และหลักการสิทธิของผู้หญิงในอิสลาม
จากโองการข้างต้นมีคำหลักสองคำที่จะต้องทำความเข้าใจคือคำว่า
นาส และ นัฟซุนวาฮีดะฮฺ คำว่านาส
ในโองการข้างต้นหมายถึงมนุษย์ทั้งสองเพศ (Al fakhr al razi อ้างใน Andek Musnah 2001) และคำว่า นัฟซุนวาฮีดะฮฺ
ซึ่งนักอรรถาธิบายอัลกรุอานส่วนใหญ่ได้ให้คำอธิบายว่าหมายถึง อดัม
( al Qurtabi 1967, 3:3อ้างใน Andek Musnah 2001)
อันหมายถึงบรรพบุรุษของมนุษย์คู่แรก(อดัมและอีฟ)ที่อัลลอฮฺได้สร้างขึ้น “พระองค์นั้นคือ ผู้ที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากชีวิตเดียว (คือ
ท่านนบีอดัม) และได้ทรงให้มีขึ้นจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครอง (คือพระนางฮาวาหรืออีฟ)……”
(อัลกรุอาน7:189)
หลักการนัฟซุนวาฮีดะฮฺ
เป็นหลักการที่ได้กำหนดว่าชายและหญิงในอิสลามนั้นเท่าเทียมกันทั้งในด้านความเป็นตัวตนและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
(อัลกรุอาน7:70)
เป็นหลักการที่มุสลิมทุกคนจะต้องเชื่อและยอมรับความเท่าเทียมในเพศสภาพ คือ
เชื่อว่าชายและหญิงนั้นมีจิตวิญญาณที่เหมือนกัน(อัลกรุอาน7:189) โดยที่ทั้งสองได้รับการเป่าเสกวิญญาณ(รูหฺ) จากอัลลอฮฺเหมือนกัน
(อัลกรุอาน 32:9)
ดังนั้นกระบวนทัศน์อิสลามเกี่ยวกับผู้หญิงจึงไม่มีที่ว่างสำหรับความเชื่อที่ว่าหญิงคือช้างเท้าหลังชายคือ
ช้างเท้าหน้า หญิงเป็นสาเหตุให้ชายนั้นตกต่ำ
หรือการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรของหญิงนั้นเป็นคำสาบหรือบทลงโทษบนฐานความผิดที่นางฮาวาได้ฝืนคำสั่งของพระเจ้าในสวนสวรรค์
ความเท่าเทียมหรือความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงในอิสลามนั้นมุฮัมหมัดได้กล่าวในเชิงเปรียบเทียบว่าหญิงนั้นคือพี่น้องของชายนั้นเอง(หะดีษ
บันทึกโดยอัฏฏอรมีซี) และท่านยังได้ประกาศอีกว่า “ท่านทั้งหลายคือ
(ชายและหญิง) มาจากอดัมและอดัมได้ถูกสร้างมาจากดิน ” (หะดีษบันทึกโดยบุคอรีย์
มุสลิมและอบูดาวูด)
จากคำประกาศของท่านศาสดาข้างต้นเป็นบทสรุปที่ชัดเจนว่า
กระบวนทัศน์อิสลามที่เกี่ยวกับหญิงนั้นจะปฏิเสธหลักการที่ว่าชายเหนือกว่าหญิง
ในทุกมิติไม่ว่ามิติทางด้านศาสนา สังคม เศรษฐกิจ การเมืองและการศึกษา หลักการ “นัฟซุนวาฮีดะฮฺ” เป็นหลักการพื้นฐานในการจัดวางระบบเสรีภาพ
ระบบความเสมอภาค และระบบความยุติธรรม ในสังคมที่มีชายและหญิงเป็นส่วนประกอบ
โดยไม่มีนัยยะแห่งความรู้สึกที่ถือเขาถือเราในการกำหนดค่านิยมและแนวปฏิบัติในสังคม
2.หลักการอิสติคลาฟ
หลักการการอิสติคลาฟหมายถึงหลักการที่ยอมรับว่ามนุษย์เป็นตัวแทนของอัลลอฮฺ
(Viceqerent
of God / เคาะลีฟะห์ของอัลลอฮฺ)
บนพื้นพิภพดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสต่อบรรดามาลาอีกะฮฺ ความว่า “แท้จริงข้าจะมีผู้แทนคนหนึ่งในพิภพ”
อัลกุรอาน 2:30 เคาะลีฟะห์ เป็นภาษาอาหรับ
โดยอิบนู คอลดูน
ได้ให้ความหมายอย่างสั้นๆว่าหมายถึง “ผู้ที่ธำรงไว้ซึ่งหลักการศาสนาอิสลามและนำหลักการศาสนาอิสลามมาบริหารจัดการโลก”
และแปลความหมายเป็นภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า Vicegerent
ซึ่งหมายถึง ผู้หนึ่งผู้ใดที่ได้รับสืบทอดปฏิบัติตามคำสั่งการของกษัตริย์หรือผู้นำและมีความครอบคลุมถึงการสืบตำแหน่งของบุคคลเพื่อดำเนินการตามความประสงค์ของกษัตริย์หรือผู้นำต้องการให้บุคคลนั้นๆทำด้วยการใช้พระราชอำนาจของกษัตริย์หรือผู้นำได้มอบหมายให้และห้ามดำเนินการใดๆด้วยอำนาจตามลำพังทีตัวเองนั้นมีอยู่
อิสติคลาฟ
เป็นสถานภาพสูงสุดที่อัลลอฮฺ ทรงมอบให้กับมนุษย์ทุกคนโดยไม่จำกัดเพศสภาพ
เชื้อชาติและสีผิว
เป็นตำแหน่งที่ทรงกำหนดให้เป็นเป้าหมายสูงสุดและเป็นภารกิจหลักให้ปฏิบัติอย่างจริงจังตามศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่
ภารกิจหลักที่เคาะลีฟะห์ของอัลลอฮฺต้องรับผิดชอบมีสามส่วนด้วยกัน
คือ
1.สร้างความสมบูรณ์ในตัวของมนุษย์ตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ
2.สร้างความสมบูรณ์ในสังคมมนุษย์ตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ
3.สร้างสมบูรณ์ทางกายภาพของโลกตามที่อัลลอฮฺทรงประสงค์
3.หลักการอีมานและอามัล
หลักการอีมานและอามัล(การศรัทธาและการปฏิบัติ/ Belief and Action) เป็นหลักการใหญ่หลักการหนึ่งที่เกี่ยวโยงกับการกำหนดกระบวนทัศน์ผู้หญิงในอิสลาม
หลักการอีมานและอามัลเป็นหลักการที่ควบคู่ที่เชื่อมโยงกันและเป็นหลักการที่แยกออกเป็นสองส่วนไม่ได้
ดังที่ปรากฏในอัลกรุอานเมื่ออัลลอฮฺได้กล่าวถึง “อามานู”
คือ อีมานหรือศรัทธาแล้วพระองค์จะควบตามด้วยคำว่า “วาอามีลูศศอลีฮาด”
คือ อามัลหรือการปฏิบัติที่ดี
โดยมีนัยยะที่สำคัญคือการศรัทธา(อีมาน)กับการปฏิบัติ(อามัล)
นั้นจะต้องควบคู่กันและแยกขาดออกจากกันไม่ได้ (อัลกรุอาน 9:17,8:2-4,2:285,2:254,23:1,33:36และ49:15 ฯลฯ) หลักการอีมานและอามัลเป็นหลักการที่ครอบคลุม
ครบวงจรและมีความต่อเนื่องในวิถีชีวิตของมนุษยในอิสลาม
กล่าวคือการศรัทธาในอัลลอฮฺ(อีมาน)ของมุสลิมคือฐานที่กำหนดคุณค่าของการปฏิบัติ(อามัล)
(หะดีษมุต-ตะฟัคอะลัยฮ- รายงานโดย อิบนุอุมัรและอีกบทหนึ่งรายงานโดยอิบนุอับบาส
บินอับดุลมุลฏอลิบ)การศรัทธาในอัลลอฮฺความหมายในองค์รวม คือ
การศรัทธาทั้งหมดที่เกี่ยวโยงกับหลักการแห่งความเป็นเตาฮีด(ความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺ)รวมถึงการศรัทธาในหลักการที่กำหนดในอัลกรุอาน(อัลกรุอาน2:24)หลักการอีมานและอามัลเป็นหลักการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
มนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสังคมในอิสลาม
หลักการอีมานและอามัลเป็นที่มาของระบบความสัมพันธ์เชิงเกี่ยวโยงในอิสลามคือ
อะไรก็ตามที่ถูกบัญญัติโดยอัลลอฮฺในอัลกรุอานแล้วจะถูกปฏิบัติโดยท่านศาสดาโดยทันที
ซึ่งสองส่วนนี้เป็นสิ่งที่มุสลิมต้องศรัทธาและปฏิบัติตามแบบอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น
Syed
Maolana Maodude(1990)ได้กล่าวเชิงเปรียบเทียบระบบความสัมพันธ์ในลักษณะที่เชื่อมโยงกับระหว่างสองหลักการว่าเสมือนหนึ่งส่วนหนึ่งนั้นเป็นรากและอีกส่วนหนึ่งเป็นผล
การแยกขาดออกจากกันระหว่างทั้งสองคือ ความหายนะ
หลักการอีมานและอามัลจึงเป็นหลักการเบื้องต้นที่จะทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจในหลักการพื้นฐานอันเป็นที่มาของกระบวนทัศน์อิสลามที่เกี่ยวกับผู้หญิงให้มีความชัดเจนขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น