การตกต่ำสถานภาพของผู้หญิงมุสลิม (The
Decline in the Status of Muslim Woman)
ฟารูกี
(lsmail
R al faruqi,1974)
ได้กล่าวว่าการเสื่อมสลายของประชาชาติมุสลิมเกิดจากความเชื่อและเจตคติที่มุสลิมปฏิเสธและมิได้ให้ความสำคัญกับกิจการต่างๆที่เกี่ยวกับโลกเช่น
กิจการทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จากการยึดแนวปฏิบัติดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นจนในที่สุดทำให้สภาพสังคมมุสลิมในภาพรวมตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและเสื่อมลงอย่างสิ้นเห็นได้ชัด
ทั้งในความเป็นจริงแนวคิดดังกล่าวคือ
มุสลิมจะเมินเฉยโดยขาดความกระตื้อรื้อรนในการที่จะพัฒนากิจการต่างๆที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
สังคมและการเมือง ซึ่งแน่นอนแนวคิดเหล่านั้นย่อมมีผลกระทบต่อสถานะของประชาชาติมุสลิมโดยรวม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่จะมีต่อผู้หญิงมุสลิมมีความรุนแรงหลายเท่า
จนในที่สุดผู้หญิงมุสลิมจำต้องยอมรับในบทบาทเฉพาะที่เกี่ยวกับกิจการในครอบครัวเป็นหลัก(lsmail
R al faruqi,1969)
สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานภาพของผู้หญิงมุสลิมตกต่ำมี
2 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายในที่สำคัญๆมีสามประการคือ
การเปลี่ยนแปลงระบบทางการเมืองในสังคมมุสลิม
การยอมรับระบบจริยธรรมทางสังคมที่ผิดแบบและการปิดประตูแห่งการอิจญ์ติฮาด
ระบบการเมืองในอิสลามที่ได้กำหนดรูปแบบโดยท่านศาสดามุหัมมัดและได้สืบทอดโดยบรรดาเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่(ค.ศ
632-ค.ศ 660)เป็นระบบที่ยึดมั่นในหลักการที่ได้กำหนดโดยอัลกรุอานอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะหลักการชูรอ (Consultation/การประชุมปรึกษาหารือกัน)และระบบการเลือกผู้นำ
แต่ทั้งหมดที่ได้กล่าวถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
จนในที่สุดระบบชูรอคงไว้เพียงแต่เงื่อนไขที่ให้ถูกต้องตามหลักการที่อิสลามกำหนดแต่มิใช่เป็นกระบวนการในการบริหารจัดการไม่
ระบบการเลือกตั้งถูกทดแทนด้วยระบบสืบทอดอำนาจอันเป็นฐานสำคัญของระบบประชาธิปไตย
ทำให้ขบวนการประชาสังคมอิสลาม ซึ่งโดยปกติสังคมมุสลิมในสมัยท่านศาสดาและเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่จะมีความเข้มแข็งกลับมีความอ่อนแอลง
ทั้งนี้เพราะประชาสังคมถูกลิดรอนในสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญๆ เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นรวมถึงเสรีภาพในการคัดค้านในสิ่งที่เป็นภัยต่อสังคม
ผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวทำให้การแสดงความเห็นที่แตกต่างกับรัฐเป็นภัยอันใหญ่หลวงที่มีต่อปัจเจกบุคคลซึ่งบางครั้งจะนำมาถึงขั้นชีวิต
ดันนั้นในสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวทำให้สถานภาพของผู้นำในระดับต่างๆมีอำนาจอย่างล้นเหลือและได้นำมาซึ่งวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ฟุ่มเฟือย
สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดคือ
มีการสะสมทาสหญิงและทรัพย์สินที่มีค่าต่างๆเอื้อต่อความสุขในทางโลก(Hitti,1970)
การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในลักษณะดังกล่าวได้สืบทอดมาจนถึงสมัยอับบาสียะฮฺและอุษมานียะฮฺ
การยอมรับระบบจริยธรรมทางสังคมใหม่คือ
การปฏิเสธความเป็นเอกลักษณ์บางประการของความเป็นโลกียะ(Secularist)
อันเป็นสาเหตุเป็นประการหนึ่งที่นักคิดมุสลิมเชื่อว่ามีส่วนสำคัญทำให้ประชาชาติมุสลิมนั้นตกต่ำและล่มสลายจากวิถีชีวิตที่เป็นอิสลามอันบริสุทธิ์
การยอมรับระบบจริยธรรมทางสังคมใหม่นั้นเป็นผลิตผลที่เกิดจากชีวิตหลังจากการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองในสังคมมุสลิม
นั่นคือ
ผู้มีอำนาจและชนชั้นสูงในสังคมจะมีชีวิตอยู่อย่างฟุ่มเฟือยและนิยมความสุขในทางโลกเป็นหลัก
ดังนั้นแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างสมถะจะงเป็นแนวทางที่คิดว่าน่าจะเป็นแนวทางที่จะทำให้ประชาชาติมุสลิมมีความเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากการนำเสนอแนวคิดดังกล่าวโดยผู้นำทางจิตวิญญาณบางคน
ในที่สุดทำให้เกิดสังคมมุสลิมได้ยอมรับแนวคิดการปฏิเสธความเป็นโลกียะที่สมบูรณ์แบบและกลายเป็นจริยธรรมใหม่ทางสังคมที่ประชาสังคมมุสลิมส่วนหนึ่งได้ยอมรับอย่างสนิทใจ
ปัจจัยภายนอกที่มีส่วนในการสร้างความตกต่ำคือ
การปิดประตูแห่งการอิจญ์ติฮาดในสังคมวิชาการมุสลิม
เป็นที่ทราบกันดีว่าหลังจากการสิ้นชีวิตของ al-Tabari (d.310 H.E/922C.E)จะไม่มีนักวิชาการที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวกับฟิกฮฺที่โดดเด่น
ส่วนหนึ่งเกิดจากความกดดันที่สังคมมุสลิมต้องตกอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองที่ไม่เอื้อต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการและในด้านต่างๆและอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากการกำหนดแนวทางฟิกฮฺโดนนักปราชญ์ที่สำคัญๆของโลกมุสลิมก่อนหน้านั้น
จนพัฒนาถึงระดับการกำเนิดแนวคิดความเป็น มาซาเฮ็บ
ที่ค่อนข้างมีความสมบูรณ์แบบในระดับหนึ่ง ทำให้กระบวนการในการศึกษาวิจัยเพื่อดำเนินการอิจญ์ติฮาดในสังคมมุสลิมในสมัยนั้นมีน้อย
จนในที่สุดในศตวรรษที่สี่ฮิจญ์เราะฮฺศักราชบรรดานักกฏหมายอิสลามต่างได้ปิดประตูแห่งการอิจญ์ติฮาดในสังคมวิชาการของมุสลิมที่มีต่อผู้หญิง
คือ การละเมิดและลิดรอนในส่วนที่เกี่ยวกับสถานภาพและสิทธิของผู้หญิงในอิสลามนั้นเอง
ปัจจัยภานอกที่มีส่วนในการตกต่ำของสถานภาพของผู้หญิงในอิสลามนั้นมีสองสาเหตุสำคัญคือ
สงครามครูเสดและการบุกยึดการเมืองของฮูลากู
สงครามครูเสดเป็นการประกาศสงครามศาสนาระหว่างมุสลิมกับคริสต์เตียน Pope
Urban ได้ประกาศที่เมืองเคลอร์มองค์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26
พฤศจิกายน
1095โดยการเรียกร้องให้ชาวคริสต์เตียนที่มีความศรัทธาร่วมพลังในการต่อต้านและทำสงครามกับมุสลิม
โดยที่มีจุดประสงค์หลักคือ เปลี่ยนศาสนาของมุสลิมให้เป็นคริสต์เตียน
จากสงครามครูเสดที่ยาวนานประกอบด้วยฝ่ายมุสลิมเกิดความขัดแย้งภายในกันเอง
จนในที่สุดอาณาจักรอิสลามที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ถึงเวลาการล่มสลาย
ผลกระทบจากสงครามครูเสดได้นำมาซึ่งความอ่อนแอของมุสลิมในด้านต่างๆอย่างเด่นชัด
จนในที่สุดมุสลิมไม่อาจที่จะชี้นำประชาคมมุสลิมได้อย่างมีประสิทธิภาพและเปิดโอกาสให้ขบวนการไซออนิกสต์สากลและขบวนการคริสต์เตียนปรับเปลี่ยนความคิดของประชาคมมุสลิมโดยผ่านกระบวนการต่างๆที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นระบบการสื่อสารมวลชน
และระบบการพัฒนาสังคมในแนวใหม่อันเป็นต้นเหตุทำให้ประชาสังคมมุสลิมบางส่วนเข้าใจว่าการพัฒนาหรือความเจริญคือ
ความเป็นตะวันตก
การบุกยึดของฮูลากูต่อดินแดนมุสลิมจนในที่สุดฮูลากูได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของอาณาจักรอิสลามในช่วงเวลาสั้นๆ
แต่วิถีชีวิตแบบฮูลากูทรงมีอิทธิพลต่อประชาคมมุสลิมและได้หล่อหลอมสร้างวัฒนธรรมการมีชีวิตอยู่แบบฟุ่มเฟือยรวมถึงการสะสมหญิงทาสเป็นบารมีที่แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งทำให้ความเป็นอยู่ของผู้หญิงนั้นตกต่ำ
Philip K. Hitti 1970 ได้กล่าวว่าระบบฮาเร็มที่ได้รวบรวมทาสหญิงสาวที่งามและทาสชายเพื่อเป็นขันที
นั้นได้ปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปในสังคมมุสลิมและกิจกรรมภายในฮาเร็มนั้นจะประกอบด้วยการร้องรำทำเพลงและการเสพของมึนเมาเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินอันเป็นวิถีชีวิตแบบหนึ่งในสังคมชั้นสูงในสมัยนั้น
จากสาเหตุปัจจัยทั้งภายในและภายนอกดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ทำให้สถานภาพของผู้หญิงในยุคหลังของสังคมมุสลิมจะไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสังคมมากนัก
จนในที่สุดกลายเป็นที่มาของคำกล่าวขานที่ว่าผู้หญิงมุสลิมเป็นผู้ที่ถูกลกทอนสถานภาพและถูกกดขี่ในด้านต่างๆที่รุนแรงที่สุดสังคมหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น