การรับรู้ใหม่ในบทบาทของผู้หญิงในอิสลามนั้นเป็นสิ่งท้าทายที่ได้ปรากฏขึ้นตั้งแต่ตอนต้นศตวรรษที่18
เมื่อนักคิดมุสลิมแนวปฏิรูปในโลกมุสลิมได้แสดงทรรศนะเพื่อปลดปล่อยความอ่อนแอและความล้าหลังของสังคมมุสลิมวนด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนา
การศึกษา สังคม เศรษฐกิจและการเมือง เป็นต้น
เป็นยุคเริ่มต้นแห่งการฟื้นฟูโดยการนำหลักการอิสลามอันดั้งเดิม
มาเสนอใหม่ที่เป็นปัจจุบัน
ซึ่งมีนักฟื้นฟูเหล่านั้นได้มีข้อสรุปว่ามุสลิมยุคปัจจุบันจำเป็นต้องย้อนกลับศึกษาและทบทวนดูปรากฏการณ์ต่างๆที่ได้บันทึกในอัลกุรอาน
การปฏิบัติของท่านศาสดา(ซุนนะฮฺ)และศอฮาบะฮฺ
ตลอดจนพี่น้องมุสลิมในยุคต้นที่ได้ยึดรูปแบบการปฏิบติตามอัลกุรอานและสุนนะฮฺอย่างเคร่งครัด
ดังข้อสรุปของ Al-Faruqi(1974) ได้กล่าวว่า
ความล้มเหลวของแนวคิดที่เป็นจารีตนิยมกับการนำเสนอกระบวนการคิดภายใต้กรอบความคิดของอิสลาม
และการปฏิรูปสถาบันต่างๆสู่ความเป็นสมัยใหม่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงบริบททางสังคมเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการรับรู้ใหม่ในบริบทที่เป็นอิสลาม
ท่านอิบนูตัยมียะหฺ
นักปฏิรูปที่สำคัญคนหนึ่งของโลกมุสลิม
ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเข้าใจถึงสาเหตุแห่งความตกต่ำของประชาชาติมุสลิมที่ดีมากท่านหนึ่ง
โดยที่ท่านได้นำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาในสภาวะการตกต่ำและเสื่อมสลายของประชาคมมุสลิมในด้านต่างๆนั้นว่ามีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่สามารถจะกอบกู้และแก้ปัญหาได้
คือ ประชาคมมุสลิมจะต้องหวนกลับเรียนรู้และทำความเข้าใจในแนวปฏิบติของมุสลิมยุคดั้งเดิม(คือแนวปฏิบติในสมัยของท่านศาดามและศอฮาบะฮฺเป็นหลัก)
ดังที่ทราบกันดีว่าในสภาวการณ์ที่ประชาคมมุสลิมอ่อนแอนั้นมุสลิมพยายามปกป้องอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิมอย่างที่สุด
จนบางครั้งทำให้มีความคิดในลักษณะของชายขอบอันเนื่องมาจากความเกรงกลัวในการรับหรือปฏิสัมพันธ์กับแนวคิดสมัยใหม่ทางสังคมเศรษฐกิจและการเมืองได้
ดังนั้นมันจึงเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้การรับรู้ใหม่ในบทบาทของผู้หญิงในอิสลามนั้นไม่สามารถที่จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว
แนวคิดอิสลามที่เกี่ยวกับบทบาทผู้หญิงในการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมนั้นมีความต้องการที่จะได้รับพิจารณาจากนักวิชาการทางด้านอิสลามศึกษาที่มีความเข้าใจตัวบท
และเข้าใจในตัวบริบททางสังคมที่ลุ่มลึกและกว้างไกล
นั้นคือความเป็นนักวิชาการอิสลามศึกษาที่มีวิสัยทัศน์นั้นเอง ดังนั้นในการแก้ปัญหาและพัฒนาผู้หญิงในอิสลามที่ยั่งยืน
การรับรู้ใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสถานภาพและบทบาทของผู้หญิงในอิสลามจำเป็นที่จะต้องให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ในกระบวนการปฏิรูปสามเรื่องที่สำคัญที่สุด
คือ การปฏิรูปทางด้านสังคม-การเมือง
การปฏิรูปทางด้านการศึกษาและสนองความต้องการของประชาชาติมุสลิมต่อรูปแบบการพัฒนาในแบบฉบับของอิสลาม
Jamaluddin
al al-Afghani(1838-1897 C.E)
นักปฏิรูปทางสังคมและการเมืองที่สำคัญของโลกมุสลิมได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในอิสามที่น่าสนใจ
คือ ท่านกล่าวว่าความแตกต่างของบทบาทระหว่างชายและหญิงในสังคมมุสลิมนั้นสาเหตุมาจากความแตกต่างทางด้านการศึกษาเป็นหลัก
มันเป็นด้วยเพราะความแตกต่างของวัฒนธรรมแต่ไม่ใช่ด้วยสาเหตุธรรมชาติที่แตกต่างกันไม่
ดังนั้นการที่ชายมีโอกาศแสดงบทบาทต่างๆในสังคมอย่างอิสระแต่ในขณะเดียวกันผู้หญิงจะต้องแสดงบทบาทที่อยู่ภายในครอบครัวเป็นเช่นการดูแลลูกและอื่นๆนั้น
สืบเนื่องจากการศึกษาที่ทั้งสองได้รับไม่เท่าเทียมกัน
หากว่าทั้งสองได้รับโอกสในการศึกษาที่เท่าเทียมกันแล้ว
ท่านเชื่อว่าผู้หญิงจะต้องมีศักยภาพในการแสดงบทบาทต่างๆในสังคมที่เท่าเทียมกับชายทุกประการ
และท่านยังมีความเชื่ออีกว่าชาติและสังคมมีความต้องการพลังการสร้างสรรค์ของผู้หญิงในการพัฒนาสังคมและประเทศอีกมากมาย
(Haji Othman,1992)
ผลกระทบที่เกิดจากการเสื่อมสลายอัตลักษณ์ของประชาชาติมุสลิมในอดีตนั้นมีผลอย่างใหญ่หลวงแม้นว่าในความเป็นจริงประชาชาติมุสลิมในปัจจุบันสามารถปลดแอกและประกาศความเป็นประเทศที่มีเอกราชแต่ปัญหาต่างๆทางด้านสังคม
วัฒนธรรมและเศรษฐกิจยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก จากข้อมูล (Al-islam
IX,1993)
ปรากฏว่าประเทศมุสลิมที่มีเอกราชทางการเมืองแต่ประชาชนไม่รู้หนังสือมากกว่าร้อยละ
50-95 ของประชากรทั้งหมดมีจำนวนหลายสิบประเทศ แน่นอนประชาชาติมุสลิมในจำนวนนั้นจะมีจำนวนของผู้หญิงที่ไม่รู้หนังสือมากกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว Muhammad Abduh ได้ดำเนินการแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในสังคมมุสลิมโดยที่ท่านเน้นการให้ความรู้เรื่องสิทธิการศึกษาในอิสลามของผู้หญิงเป็นหลัก
จนในที่สุดสังคมมุสลิมได้กำเนินระบบการศึกษาให้กับผู้หญิงอย่างเป็นระบบขึ้น เช่น
ในปี1962 มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรได้เปิด และในปี1980
ได้มีการจัดสัมมนาร่วมระหว่างสถาบันต่างๆในประเทศคูเวตโดยมีมหาวิทยาลัยแห่งคูเวต
ได้จัดสัมมนาเรื่องสถานภาพและบทบาทของสตรีในสังคม
ซึ่งถือว่าเป็นการจุดประกายและกระแสการรับรู้ใหม่ในเรื่องผู้หญิงในสังคมอิสลามในยุคสมัยใหม่
ความต้องการของประชาชาติมุสลิมต่อการพัฒนารูปแบบของอิสลาม
เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องทำการปฏิรูป คือ
การบริการทางสังคมโดยมีเพศชายเพียงเพศเดียวนั้นไม่อาจที่จะเติมเต็มความต้องการของสังคมอิสลามได้อย่างเต็มร้อย
พลังการสร้างสรรค์ของผู้หญิงในสังคมอิสลามนั้นยังมีความต้องการในระดับที่สูง
ประสบการณ์ในการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจเชิงเกษตรกรรมได้แสดงให้เห็นถึงภาพที่ชัดเจนที่สุดว่าพลังในการพัฒนาส่วนนี้
สังคมมุสลิมจะขาดพลังของผู้หญิงไม่ได้
ดังที่ได้ปรากฏในสังคมมุสลิมโดยทั่วไปรวมทั้งสังคมอิสลามในสมัยท่านศาดามูฮัมมัดในเมืองมะดีนะฮฺ
โดยที่ผู้หญิงมุสลิมจำนวนมากในสมัยนั้นได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาทางเกษตรกรรมเคียงบ่าเคียงไหล่กับสามีหรือครอบครัว[1]
เป็นต้น
แม้นว่าโดยธรรมชาติของผู้หญิงต้องมีหน้าที่ในการเลี้ยงดูและอบรมลูกเป็นหลัก
แต่นั้นหาใช่ว่าตลอดชีวิตของผู้หญิงจะต้องผูกพันกับภารกิจเหล่านั้นเสมอไป
มันจึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะกำหนดกรอบว่าผู้หญิงในอิสลามนั้นห้ามทำกิจกรรมนอกบ้านเพราะจะกระทบกับภารกิจของผู้หญิงอันเป็นธรรมชาติที่ได้ถูกสร้างมา
จริงอยู่อัลกุรอานได้กำหนดหลักการว่าผู้ชายนั้นต้องมีหน้าที่ในการในการหาปัจจัยทางเศรษฐกิจเพื่อหยังชีพต่อครอบครัว
แต่นั้นหาใช่ว่าเป็นการห้ามมิให้ผู้หญิงในอิสลามทำกิจกรรมในการหาปัจจัยทางเศรษฐกิจด้วยแต่มันเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้หญิงในการที่จะต้องทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นภรรยาและแม่ของลูกเท่านั้นเอง
แน่นอนพันธกิจในการสร้างสรรค์พัฒนาสังคมประเทศชาติในอิสลามนั้นมีนัยยะที่กว้าง คือ
ต้องความเสียสละของผู้ชายและผู้หญิงในสังคมอิสลามที่เท่าๆกัน ดังที่ ฟารูกี
ได้กล่าวเอาไว้ว่า ชีวิตในโลกนี้ไม่อนุญาตให้มนุษย์อบยู่อย่างขาดหลักการเสียสละ (Faruqi,1973) ดังที่เราได้ยอมรับโดยดุษฏีแล้วว่าโลกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งสองเพศ
ดังนั้นโดยหลักการในเชิงความรับผิดชอบทั้งสองเพศ คือ
ชายหญิงในการพัฒนาสังคมอีกมากมายเพื่อที่จะแก้ปัญหาโรคร้ายที่รุมเร้าสังคม เช่น
ปัญหาความยากจน ปัญหาการไม่รู้หนังสือ ปัญหายาเสพติด ปัญหาทางศีลธรรม
และปัญหาการขาดความกตัญญูรู้คุณของเยาวชน เหล่านี้เป็นต้น
การปฏิรูปความคิดประชาติมุสลิมต่อการพัฒนาในรูปแบบอิสลามนั้น
คือ ต้องทำความเข้าใจว่าการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ คือ ข้อกำหนดในอิสลามประการหนึ่ง
ดังที่ ฟารูกี กล่าวว่า การปฏิบัติทางเศรษฐกิจ คือ
การแสดงออกของความศรัทธาในอิสลาม และอีกสำนวนหนึ่งที่กล่าวโดย iqbal
ซึ่งเป็นนักคิดมุสลิมชาวอินเดียที่ยิ่งใหญ่
โดยที่ท่านได้กล่าวว่า การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง คือ
การแสดงออกของความศรัทธาในอิสลาม (Faruqi,1982)
ภารกิจข้อหนึ่งของมุสลิม คือ
การพัฒนาโลกด้วยการสร้างความสมบูรณ์ทั้งในด้านธัญญาหารและปัจจัยอื่นๆที่มีความจำเป็น
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่สำคัญในรูปแบบการพัฒนาในอิสลามนั้น คือ
การพัฒนาทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนหลักการอัตเตาฮีต คือ
การพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจต้องควบคู่กับการพัฒนาทางจิตวิญญาณ(อะกีดะฮอิสลามิยะฮ)ของมุสลิมควบคู่ด้วยกัน
หรือ การพัฒนาที่รวมศูนย์ในหลักการความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺ คือ
หลักการแห่งอัตเตาฮีตนั้นเอง
[1] ดังเช่นอัสมาอ บินติ อบูบักร น้องสาวท่านหญิงอาอีชะห์
เป็นเกษตรกรตัวอย่างของผู้หญิงในอิสลามที่ได้พัฒนาร่วมกันกับสามีซุบิร บิน เอาวาม
(Ali Abdul wahab,1967,Al-Marah fil islam,Cairo-Arabic)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น