เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คอลีฟะฮ อาลี ตอนที่ 1




โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี  เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ
1. ชีวิตปฐมวัย เชื้อสาย และความประเสริฐของท่านอาลี อิบนุ อะบีฏอลิบ

การกำเนิดของท่านอาลี อิบนุ อะบีฏอลิบ

            มีหลายสายรายงานที่เชื่อถือได้ยืนยันว่าท่าน อาลี บิน อะบีฏอลิบ เกิดเมื่อสิบปีก่อนที่ท่าน นบีมุฮัมหมัด  จะได้ประกาศเป็นศาสดาแห่งศาสนาอิสลาม
                อิบนุสะอด์ กล่าวว่าท่านอาลีเกิดเมื่อวันที่ 13    เดือนระ ญับ  ในปีที่ 30 หลังจากที่อับรอฮะฮได้ยกทับช้างมายังมักกะฮ อิบนุ อบีอัลฮาดีดได้เขียนไว้ในหนังสือ ชัรฮ นะฮญุล บะลาเฆาะฮว่า     มีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสถานที่เกิดของท่านอาลี พวกชีอะฮส่วนใหญ่เชื่อว่า ท่านอาลีเกิดภายใต้บริเวณกะฮบะฮ แต่นักวิชาการหะดีษไม่ยอมรับทัศนะนี้

อาลีภายใต้การคุ้มครองของท่านนบี            เฎาะบารีได้รายงานจากมุญาฮิว่า ท่านอาลีได้รับความจำเริญจากอัลลอฮ I เป็นพิเศษ เพราะท่านอาลีได้เติบโตมาท่ามกลางความอดอยากขาดแคลนที่พวกกุเรชได้ประสบ อบูฏอลิบเป็นครอบครัวใหญ่ ท่านนบี   ได้พูดกับอับบาสลุงของท่าน ซึ่งเป็นคนมั่งคั่งในหมู่ชาวกุเรชว่าลุง พี่ชายของท่านเป็นครอบครัวใหญ่ และลุงก็รู้ถึงความยากลำบากที่เขากำลังเผชิญอยู่ เราไปช่วยแบ่งเบาภาระ และความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกเขาบางคนกันดีกว่าท่านอับบาสเห็นด้วย และทั้งสองคน ก็ได้ไปหาอบูฏอลิบ  เมื่อไปถึงทั้งสองก็พูดว่าเรามาหาท่าน ก็เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เราทุกคนต่างกำลังประสบความยากลำบาก ขอให้เราได้รับผิดชอบลูกของท่านบางคน และแบ่งเบาภาระของท่านจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นอบูฏอลิบก็ได้ตอบว่าพวกเจ้าจะทำอะไรก็ตามใจ แต่เจ้าต้องทิ้ง วากิลไว้กับฉันดังนั้นท่านนบี  จึงได้รับท่านอาลีมาเลี้ยง ส่วนอับบาสก็รับ ญะฟัรไป ท่านอาลีก็ได้อาศัยอยู่กับท่านนบี  จนกระทั่งอัลลอฮI ได้ทรงแต่งตั้งท่านนบี  ให้เป็นรซูล   ของพระองค์ ท่านอาลีไว้วางใจในตัวท่านนบี  มากและเชื่อมั่นในความสัตย์จริงของท่าน จนกระทั่ง ท่านอาลีเข้ารับอิสลาม

การเข้ารับอิสลามของท่านอาลี
                วันหนึ่งขณะที่ท่านนบี และนางคอดีญะฮกำลังนมาซอยู่ ท่านอาลีได้เดินเข้ามา เขาได้ถามว่าเมื่อกี้นี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ ?” ท่านนบี  จึงได้ตอบว่านี่คือศาสนาของอัลลอฮ I ที่ท่านได้เลือกไว้  และได้ส่งรซูล  มาพร้อมกับมัน ฉันขอเรียกร้องเจ้าไปสู่อัลลอฮ I  ผู้ทรงเอกะและไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีร่วมกับพระองค์ ท่านอาลีก็ได้กล่าวว่ามันเป็นอะไรที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉันยังตัดสินใจไม่ได้ จนกว่าฉันจะได้คุยกับอบูฏอลิบก่อนเนื่องจากท่านนบี I ไม่ต้องการให้ความลับเป็นที่ล่วงรู้ ก่อนที่ท่านจะเผยแผ่อย่างเปิดเผยต่อผู้คนทั่วไป ท่านจึงบอก ท่านอาลีว่าถ้าหากเจ้าไม่ยอมรับอิสลาม ก็ขอให้เจ้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ  ท่านอาลีเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบเป็นเวลาหนึ่งคืน และในที่สุดอัลลอฮ I ก็ได้ทรงปลุกฝังอิสลามขึ้นในหัวใจของเขา เช้าวันรุ่งขึ้นเขาได้ไปหาท่านนบี และถามว่าเมื่อวานนี้ท่านบอกอะไรฉัน? “ท่านนบี  จึงได้กล่าวว่าจงยืนยันว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮI   ไม่มีภาคีใดๆร่วมกับพระองค์ และ จงปฏิเสธเทพเจ้า    อัลลาต และอัลอุซซา และ อย่ายอมรับสิ่งใดเป็นหุ้นส่วนกับอัลลอฮฺ I " ท่านอาลีได้ทวนสิ่งที่ท่านนบี ได้กล่าว และได้กลายเป็นมุสลิมและได้มาหาท่านนบี ในระหว่างที่อบูฏอลิบไม่อยู่และได้ปิดบังความศรัทธาของเขาดั่งที่ท่านนบีได้สั่งไว้
รายงานนี้ได้ยืนยันว่า ท่านอาลีได้เป็นมุสลิมผู้ศรัทธาในอิสลามรองถัดจากนางคอดีญะฮฺ และเป็นผู้ชายคนแรกที่นมาซตามหลังของท่านนบี มูฮัมหมัดบินอับดุลรอฮฺมาน ซะรอเราะฮฺกล่าวว่า ท่านอาลีเข้ารับอิสลามเมื่ออายุได้ 9 ขวบ แต่มุญาฮิดกล่าวว่า ผู้ชายคนแรกที่นมาซตามหลังท่านนบี ก็คือ ท่านอาลี และในตอนนั้นท่านอายุ ได้ 10 ขวบ

 

สายตระกูลของท่านอาลี บินอะบีฏอลิบ

                บิดาของท่าน ชื่อ อะบีฏอลิบ มีชื่อเดิมว่า อับดุลมานาฟ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ  ชื่อเดิมว่า ซัยบะฮ์ บิน ฮาเซ็ม บินอับดุลมานาฟ ชื่อเดิมว่าอัลมุฆีเราะฮ์ บิน กอซอย์ ชื่อเดิมว่า ซัยด์ บิน กีลาบ บิน มัรเราะฮ์ บิน กะออาบ บิน ซุอวี  บิน ฆอลิบ บิน มุอาด บิน อัดนาน   มารดาของท่าน              ชื่อฟาฏีมะฮ  อัซซุอราอ มีชื่อเดิมว่า ฟาฏีมะฮ บินตี อาสัด บินตี ฮาซิม บินตี อับดุลมานาฟ บิน      กอซอ
                   ท่านอาลี บิน อะบีฏอลิบมีชื่อเล่นว่า อะบีตุรรอบ ซึ่งหมายถึง พ่อฝุ่น (ครั้งหนึ่งท่านนบี  เห็นท่านอาลีนอนอยู่บนพื้น ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่น ท่านจึงได้รับฉายาดังกล่าว) ท่านอาลี บิน         อะบีฏอลิบ นั้น เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านนบี  ซึ่งท่านมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน ท่านเป็นพี่คนโต ท่านมีน้องชาย 3 คน คือ ฏอลิบ , อากีล และยะอฟัร และท่านมีน้องสาวอีก 2 คน คือ อุมูฮานย์ และ ญะมานะฮ ซึ่งพี่น้องทั้งหมดนั้นมาจาก บิดา-มารดา คนเดียวกัน

เผ่ากุเรช
                ผู้คนแห่งอารเบียต่างยอมรับว่าเผ่ากุเรชเป็นเผ่าที่มีเกียรติ  และไม่มีใครโต้แย้งในความเหนือกว่าของเผ่ากุเรช  พวกกุเรชจะมีลักษณะและศีลธรรมที่เป็นคุณสมบัติของสิ่งที่เราเรียกว่า  “ความกล้าหาญและความรักในเกียรติยศของตนเอง”   บานี ฮาซิมได้รับการยกย่องว่าเป็นตระกูลผู้ดีในหมู่ชาวกุเรช   ตระกูลนี้จะมีความเคร่งครัดในศาสนาและมีเหตุผลในการตัดสินจนได้รับการยอมรับและเป็นผู้สนับสนุนให้ความเคารพแก่กะอบะฮในฐานะเป็นบ้านของอัลลอฮI   ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้เอง  บานีฮาซิม  จึงเหมาะสมที่จะเป็นบรรพบุรุษของท่านรซูลลุลลอฮ   แต่ก็มีบางเรื่องที่บานีฮาซิม  มีเหมือนกับเผ่าอาหรับอื่นๆ ของอารเบียซึ่งอิสลามไม่ยอมรับ
อับดุล มุฏฏอลิบ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในตระกูลกุเรชที่ร่ำรวยและก็ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวเหนือชาวกุเรช แต่เขาเป็นผู้มีเกียรติคนหนึ่งจากการที่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาน้ำและอาหารแก่ผู้มาปฏิบัติศาสนกิจที่มักกะฮ  และเขาได้เตือนลูกๆ ของพวกเขามิให้เป็นผู้กดขี่  ขณะเดียวกันก็สอนสั่งลูกๆ ของเขาในเรื่องความดีงามของศีลธรรม และลูกชายคนหนึ่งของเขาชื่อ อบูฏอลิบ บิน อับดุล มุฏฏอลิบ ชื่อจริงของเขา คือ อิมรอนและซัยบ๊ะฮและเขาเป็นที่รู้จักในฉายาว่า อาบู ฏอลิบ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในบรรดาหัวหน้าของเผ่ากุเรชและเขาเป็นผู้คุ้มครองดูแลมูฮัมมัดผู้เป็นหลานของเขาหลังจากบิดาของเขาได้เสียชีวิต  เมื่อครั้งที่ท่านนบีมูฮัมมัด ได้เริ่มเผยแพร่อิสลามและถูกปฏิเสธจากชาวมักกะฮ  และตัดสินว่าจะต่อต้านท่านนบี   อาบูฏอลิบก็ยังคงให้การสนับสนุนและการคุ้มครองแก่ท่านนบี  ต่อไป  ทั่งๆ ที่ตัวเองนับถือศาสนาอื่นแต่ด้วยความรักที่มีต่อหลานนั้น ท่านทำได้ทุกอย่าง ท่านเคยกล่าวว่า โอ้หลานรักเจ้าจงปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าต่อไปและจงพูดในสิ่งที่เจ้าพอใจ  อบูฏอลิบมีลูกหกคนชาย 4 คน หญิง 2 คน หนึ่งในนั้นคือ  อาลี บิน อบูฏอลิบ  และอาลีนั้น  ท่านนบี  ได้ขอเลี้ยงเพื่อแบ่งเบาภาระของเขา  จึงทำให้อาลีนั้นได้อยู่หรือติดตามท่านนบีมูฮัมมัด  ตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้เขาได้รับอิสลามตั้งแต่เด็ก  ซึ่งถือว่าอาลีนั้นเป็นคนแรกในบรรดาเด็กที่เข้ารับอิสลาม
  
                ความประเสริฐ หรือ ลักษณะเด่นของท่านอาลี
                     มีนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังได้อธิบายความประเสริฐ หรือ ลักษณะเด่นของท่านอาลีไว้ดังนี้
                     1. ความเป็นคนช่างคิดของท่านอาลี
                     ท่านอาลีเป็นผู้หนึ่งที่เป็นคนช่างคิด  ท่านได้คิดสิ่งใหม่ๆไว้หลายสิ่ง และสิ่งเหล่านั้นก็ยังคงดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ และสิ่งหนึ่งที่สามารถเห็นได้ก็คือ ไวยากรณ์ และการสร้างความสัมพันธ์ของคำในภาษาอาหรับ ซึ่งท่านอาลีเป็นผู้เขียนไว้
    2. ท่านเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน
                   แม้ว่าท่านอาลีจะเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวและทรหด แต่ท่านก็มีจิตใจที่อ่อนโยน สุภาพ เเละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่      ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงเป็นคนที่สงสารผู้อื่น ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นคนที่สุภาพ มีไมตรีและใจดีกับทุกคน คุณสมบัติเหล่านี้ได้รับการทดสอบอย่างหนักที่สุดเมื่อมีการจับตัวผู้ลอบสังหารท่านได้     มีรายงานว่าเมื่อตอนที่ผู้ลอบสังหารท่านถูกจับได้ ท่านได้ให้สั่งฮะซันว่า  ฮะซัน ถ้าพ่อไม่รอด จงฟันเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น (ด้วยดาบของเจ้า) อย่าฟันศพของเขาเพราะฉันได้ยินท่านนบี  กล่าวว่าอย่าสับหรือฟันศพถึงแม้ว่ามันจะเป็นหมาตัวหนึ่งก็ตาม
                เมื่ออิบนุ มุลญัมได้ถูกนำตัวมาต่อหน้าท่าน  ท่านได้กล่าวว่า  จับเขาขังไว้และปฏิบัติต่อเขาด้วยดี ถ้าฉันยังคงมีชีวิต ฉันจะตัดสินว่าจะให้อภัยหรือจะแก้แค้น ถ้าหากฉันตาย ก็ให้มีคนตายเพียงคนเดียวสำหรับการฆ่าผู้อื่น
                เมื่อท่านอาลีพบศพฏอลฮะฮหลังสงครามอูฐ ท่านถึงกับร้องให้น้ำตาไหลพรากด้วยความขมขื่น ท่านเช็ดฝุ่นออกจากหน้าฏอลฮะฮพร้อมกับกล่าวว่าโอ้ อบูมุฮัมหมัด ฉันรับไม่ได้ที่เห็นท่านอยู่ใต้ดวงดาวพร้อมกับรอยสับและรอยแผล  หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่าฉันน่าจะตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนวันอันแสนเศร้านี้
                ท่านอาลีให้ความรักความสงสารแก่เด็กๆเท่ากับความเคารพที่ให้แก่ผู้อาวุโส ท่านชอบกอดและจูบเด็กและชอบที่จะสนุกสนานกับเด็กๆ   ครั้งหนึ่งท่านได้กล่าวว่าพ่อและลูกชายมีสิทธิ์เหนือกันและกัน พ่อมีสิทธิ์จะได้รับการเชื่อฟังจากลูกนอกจากเรื่องที่ผิด และลูกก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับการตั้งชื่อที่ดีจากพ่อการเลี้ยงดูและการสอนกุรอาน
                ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาหาท่านอาลีและกล่าวว่าโอ้ผู้บังคับบัญชาศรัทธาชน ฉันมีความจำเป็นเหลือเกิน  ท่านอาลีได้ตอบว่าเขียนมันลงมาบนพื้น เพราะฉันไม่ชอบที่จะเห็นใบหน้าอ้อนวอนของท่าน  หลังจากนั้นท่านอาลีก็ให้เขามากกว่าที่เขาต้องการ

การเข้าใจลักษณะของนบี

              ด้วยความเป็นญาติใกล้ชิดของท่านนบี  และใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตติดตามท่านนบี  ท่านอาลีจึงรู้ถึงลักษณะและกิริยาท่าทางของท่านรอซูลุลลอฮ  ได้อย่างใกล้ชิด  ดังนั้นท่านได้ซึ่มซับรับเอาคุณสมบัติหลายประการของผู้ที่เขาใกล้ชิดเข้าไปในตัวท่านด้วย  ท่านอาลีเป็นผู้ที่ชอบสังเกตว่านบี ชอบและไม่ชอบอะไร ท่านเป็นคนที่พูดจาคล่องแคล่วซึ่งทำให้ท่านสามารถพูดถึงลักษณะของท่านนบี  ออกมาได้อย่างสวยงามและไพเราะ ท่านอาลีได้ให้คำอธิบายถึงลักษณะของท่านนบีไว้อย่างชัดเจนซึ่งส่วนหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้
ท่านเป็นคนใจกว้าง ซื่อสัตย์  มีความเมตตากรุณา  ผ่อนปรนและอ่อนโยน ใครที่เห็นท่านเป็นครั้งแรกจะรู้สึกเกรงกลัว  แต่เมื่อเขาได้อยู่ใกล้กับท่านและรู้จักท่านดีแล้ว  เขาก็จะมีความผูกพันกับท่านเหมือนกับเพื่อนที่ไม่อาจแยกจากกัน  คนที่ได้เห็นท่าน  กล่าวว่าเขาไม่เคยเห็นใครคนใดเหมือนกับท่านไม่ว่าจะก่อนหรือหลังจากนั้น  ขออัลลอฮ I ได้ทรงประทานความสันติและความจำเริญแก่รซูล  ของพระองค์
           ท่านอาลีรู้ว่าท่านนบี  เป็นคนอดทนและใจอ่อน   ญาติของท่านนบี  คนหนึ่ง  ซึ่งมีชื่อว่าอบูซุฟยาน บิน  ฮาริษ  บิน  อับดุลมุฏฏอลิบอยากจะพบท่านนบี  เมื่อท่านกำลังนำทัพไปยังมักกะฮ  เขาพยายามที่จะติดต่อกับท่านนบี  แต่เนื่องจากอบูซุฟยานได้ดูถูกท่านนบี  และกดขี่ข่มเหงท่านนบี  มาก่อนหน้านี้ในมักกะฮ  ท่านนบี  จึงได้เฉยเมยต่อเขาด้วยความรู้สึกผิดหวังและรู้สึกเสียใจ  เขาจึงได้เข้าหาท่านอาลี   เพื่อระบายความรู้สึกของเขา  ท่านอาลีจึงได้แนะนำเขาให้ไปหาท่านนบี  อีกครั้งหนึ่งและกล่าวสิ่งที่พี่ๆของนบียูซุฟได้กล่าวแก่เขาว่า  “ ขอสาบานต่ออัลลอฮI   พระองค์ทรงยกย่องท่านเหนือพวกเรา  และเราเป็นผู้ทำบาปจริงๆ”   เพราะท่านนบีI  ไม่ชอบให้ใครมาพูดจาล่วงเกิน   ท่านอบูซุฟยานจึงทำตามที่ท่านแนะนำและได้รับคำตอบจากท่านรอซูลุลลอฮ  ว่า   “วันนี้จะไม่มีการลงโทษพวกท่าน  ขออัลลอฮ I ทรงโปรดให้อภัยพวกท่าน  พระองค์ทรงเป็นพระเมตตาทั้งหมดของทุกสรรพสิ่ง”    อบูซุฟยานได้เข้ารับอิสลาม  และหลังจากนั้น เขาไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ทรงคุณธรรมและมีความศรัทธาเข้มเเข็งเท่านั้น   แต่ยังละอายต่อความผิดในอดีตของตน  จนเขามักจะก้มหน้าพูดกับท่านเสมอและไม่กล้าที่จะมองหน้าของท่าน           

 

บางเรื่องของอาลีที่ไม่ค่อยมีคนรู้

                นักประวัติศาสตร์และนักศึกษาประวัติของท่านอาลีโดยทั่วไปได้นำเสนอชีวิตท่านในลักษณะที่ว่าท่านให้ความสนใจแต่เรื่องการทำสงครามระหว่างพวกซีเรียและพวกอิรักหรือสนใจแต่เรื่องขัดแย้งภายในระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง    โดยไม่คำนึงถึงเรื่องการบริหารประเทศที่พิชิตได้ระหว่างการปกครองของคอลีฟะฮ์คนก่อนๆ  และไม่ได้พยายามที่จะขยายดินแดนอิสลามออกไป ทัศนะเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังเท่ากับเป็นการปิดบังความสำเร็จที่สำคัญบางอย่างของเขาด้วย ความจริงและเหตุการณ์บางอย่างต่อไปนี้ไม่มีอยู่ในชีวประวัติของท่าน
                เมื่อชาวเปอร์เซียและเคอร์มานลุกขึ้นเป็นกบฏและไม่ยอมจ่ายภาษี ท่านอาลีได้ส่งกองทหารไปปราบจนคนพวกนี้ต้องยอมแพ้  อิบนุ ญะรีร อัฏเฏาะบะรีได้บันทึกเหตุการณ์ในปี ..39/..659 – 660 ว่า
                “ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรเล่าจากท่านอาลีว่าหลังจาก อิบนุล ฮัฎรอมีถูกสังหาร พันธมิตรฝ่ายต่างๆ  ที่สนับสนุนและต่อต้านท่านอาลีก็เกิดขึ้น   ชาวเปอร์เซียและชาวเคอร์มานคิดว่าถ้าหากพวกเขาปฏิเสธการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอาลี พวกเขาก็จะได้ไม่ต้องเสียภาษีให้แก่เขา  ดังนั้นผู้คนในเขตต่างๆจึงได้รวมตัวกันและปฏิเสธผู้เก็บภาษี
                “อุมัรกล่าวว่า อบุล กอซิม ได้รู้จากมุสละมะฮ บิน อุษมาน ผ่านทางอะลี บิน กะษีรว่าเมื่อชาวเปอร์เซียไม่ยอมจ่ายภาษี ท่านอาลีก็ได้ปรึกษาเพื่อนของท่านว่าควรจะมอบหมายให้ใครรับผิดชอบในการปรามชาวเปอร์เซีย ญาริอะฮ บินเกาะดามะฮได้เสนอตัวที่จะบอกท่านอาลีถึงคนที่มีความสามารถจะปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ เมื่อถูกขอคำแนะนำ เขาก็เสนอชื่อ ซิยาด ดังนั้น ท่านอาลีจึงได้มอบหมายงานให้แก่เขา  โดยการแต่งตั้งเขาเป็นผู้ปกครองเปอร์เซียและเคอร์มาน เขาได้นำกำลังทหาร 4,000 คนและสามารถทำให้ดินแดนทั้งหมดอยู่ในความสงบและเป็นระเบียบได้
                อุมัรได้ยินจากอบู ฮะซัน ผู้เล่าจากอะลี บิน มุญาฮิด ว่าเมื่อชาวญิบาลละเมิดข้อตกลง คนที่จ่ายภาษีแก่คอลีฟะฮ์ ก็ฮึกเหิมไม่ยอมจ่ายภาษี พวกเขาไม่ยอมรับ ซะฮ บิน ฮูนัยฟ เป็นผู้ปกครองซึ่งท่านอาลีแต่งตั้งจากเปอร์เซีย   อิบนุ อับบาส ได้เสนอตัวที่จะปราบปรามเปอร์เซียและท่านอาลีก็ได้ส่งเขาไปยังบัสเราะฮ ซิยาดกับกองทหารได้ถูกส่งไปยังเปอร์เซียแลสามารถปราบปรามพวกนั้น จนยอมจ่ายภาษีอีกครั้งหนึ่ง
                เหตุการณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การพิชิตแคว้นซินด์บางส่วนที่ยังไม่ได้เป็นของอิสลามมาก่อนและอีกเหตุการณ์หนึ่งคือการลงโทษชาวคริสเตียนที่เพิ่งหันมาเข้ารับอิสลามแล้วบอกเลิกนับถือ อัมร์มา บิน มุอาวียะฮ อัด-ดะฮนี ได้อ้างว่า อิบนุ ตุฟัยล์ ได้กล่าวว่า มีชาวคริสเตียนบางคนได้หันมาเข้ารับอิสลามแล้วหลังจากนั้นก็บอกเลิกนับถือ ท่านอาลีจึงได้แต่งตั้งมะกอ บิน กออิส อัตตัยมี นำกำลังทหารไปนำตัวคนเหล่านั้นมาในฐานะนักโทษ
                ความดีของท่านอาลีที่ได้ถูกกล่าวไว้ในฮาดีษนั้นมีมากกว่าสาวกคนผู้อื่น   ความจริงแล้ว  ท่านเป็นคนที่ได้รับคุณสมบัติหลายอย่างที่ยากจะพบในตัวมนุษย์ผู้ใด  บางทีอาจเป็นเพราะท่านได้ถูกกำหนดมาให้ถูกเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและยากลำบากที่สุดก็ได้ คงอาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่ท่านรอซูล   ถึงได้กล่าวชมเชยท่านครั้งแล้วครั้งเล่า  ซึ่งเราจะเห็นได้จากบันทึก  หะดีษ  นักเขียนหลายคนได้เขียนงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้มากมายซึ่งในจำนวนนี้ก็มี  อัล คอซาอิส ฟี มะนากิบ  อะลีบินอบีฏอลิบ  โดย อิมาม อบู อับดุร เราะฮมาน อะหมัด ชุอัยบ์  อัลนะซาอี             ( เสียชีวิตใน ฮ..303/..915) ซึ่งเป็นผู้รวบรวมหนังสือ สุนัน นิซาอี ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้ตอนที่ท่านอยู่ในดามัสกัสและพบว่าผู้คนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่านอาลีและกล่าวถึงเขาในทางที่ไม่ดี

หะดีษที่พูดถึงความประเสริฐ หรือ ลักษณะเด่นของท่านอาลี อิบนุ อะบีฏอลิบ
1. เล่าจากซาลามะฮบุตร อัลอักวอซ (..)ได้กล่าวว่าท่านอาลีได้ล้าหลังจากท่านนบี  ในศึกคอยบัรโดยปรากฎเขาตาเจ็บ เขาได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ล้าหลังเสียแล้วเขาจึงออกเดินทางไปแล้วได้ไปทันกับท่านนบี  เมื่อถึงเวลากลางคืน ที่อัลลอฮ I  ได้สามารถพิชิตคอยบัรได้ในยามรุ่งเช้าของคืนนั้น ท่านรอซูลุลลอฮ ได้กล่าว่าข้าพเจ้าจะต้องมอบธงรบหรือจะรับธงรบในวันพรุ่งนี้ ชายคนหนึ่งที่อัลลอฮ I    และรซูล  ของพระองค์รักเขา หรือท่านได้กล่าวว่า ซึ่งเขาเป็นผู้ที่รักอัลลอฮ I   และรซูล   ของพระองค์ ที่อัลลอฮ I จะให้ชัยชนะอยู่ในตัวเขา ต่อมาพวกเขาได้พบกับท่านอาลี โดยพวกเราไม่หวังว่าจะได้พบเขา   พวกเขาได้กล่าวว่านี่คือ ท่านอาลี ท่านรอซูลุลลอฮ จึงได้มอบธงให้แก่เขา  พระองค์อัลลอฮ I ก็ได้มอบชัยชนะให้แก่เขา ( รายงายโดยบุคอรี มุสลิม )
2. เล่าจากสะหัล บุตร สะอัด (..) ว่าแท้จริงท่านรอซูลุลลอฮ ได้กล่าวในวันคอยบัรว่า ข้าพเจ้าจะต้องมอบธงนี้ให้แก่ผู้ชายคนหนึ่งที่พระองค์อัลลอฮI  จะให้ชัยชนะอยู่ในมือทั้งสองของเขา ซึ่งเขารักอัลลอฮ I และรซูล ของพระองค์ และพระองค์อัลลอฮI  กับรซูล I ของพระองค์ก็รักเขา   ประชาชนได้พากันวิพากษ์วิจารณ์ในคืนนั้นว่าใครจะถูกมอบธงให้ เมื่อรุ่งเช้าประชาชนได้พากันไปหาท่านรอซูลุลลอฮ   กันทุกคนโดยหวังว่าจะถูกมอบธงให้ท่านนบี ได้ถามว่า อาลี บุตรอาบีฏอลิบอยู่ที่ไหน พวกเขาตอบว่า เขากำลังได้รับความทรมานจากดวงตาทั้งสองข้างของเขาท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงส่งคนไปยังเขาให้นำตัวเขามา จากนั้นอาลีก็ไดถูกนำตัวมา ท่านนบีได้ถ่มน้ำลายไปในดวงตาทั้งสองข้างของเขาและได้ขอพรให้แก่เขา อาลีได้กล่าวว่า โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ  ข้าพเจ้าจะสู้รบกับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะมีสภาพเหมือนพวกเรา ท่าน  นบีได้กล่าวว่า ท่านจงไปอย่างสุขุมจนกว่าท่านจะไปอยู่ที่ลานบ้านของพวกเขา หลังจากนั้นท่านจงเรียกร้องพวกเขามาสู่ศาสนาอิสลาม และท่านจงแจ้งให้พวกเขารู้ถึงสิ่งที่จำเป็นเหนือพวกเขาจากสิทธิของอัลลอฮI  ขอสาบานต่ออัลลอฮI ว่าการที่พระองค์อัลลอฮI จะแนะนำแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ใด เพราะท่านเป็นต้นเหตุ มันจะเป็นความดีแก่ตัวท่านยิ่งกว่าอูฐแดง

                                                                                                                                       รายงายโดยบุคอรี มุสลิม    


3.เล่าจากสะอัด บุตร อะบีวักกอซ (..)ได้กล่าวว่า : ท่านรอซูลุลลอฮ ได้แต่ตั้งอาลี บุตร อาบีฏอลิบ เป็นผู้ที่สำเร็จราชการแทน ในสงครามตาบูกอะลีได้กล่าวว่า : โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ  ท่านทิ้งข้าพเจ้ากับพวกผู้หญิงและเด็ก หรือ ? ท่านนบี ได้กล่าวว่า : ท่านไม่พอใจหรือการที่ท่านกับข้าพเจ้าก็เหมือนกันฮารูนกับมูซา เว้นแต่จะไม่มีนบีอีกหลังจากข้าพเจ้า
                                                                 รายงายโดยบุคอรี มุสลิม และตีรมีซี

4. เล่าจากสะหัล บุตร ของสะอัด (..) ได้กล่าวว่า : ผู้ชายคนหนึ่งจากวงศ์วานของมารวาน ได้ถูกแต่งตั้งให้ปกครองมะดีนะห์ ต่อมาเขาก็ได้เรียกสะหัลและได้ให้เขาด่าอาลี แต่สะหัลไม่ยอมด่าอาลี ต่อมาชายคนนั้นได้กล่าวแก่สะหัลว่า : เมื่อท่านไม่ยอมด่าก็ให้ท่านจงพูดว่า ขออัลลอฮI จงสาปแช่งอะบุตตุรอบสะหัลได้กล่าวว่า : ไม่มีชื่อใดที่อาลีรักยิ่งกว่าชื่อนี้ อาลีจะดีใจเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อนี้ ได้มีผู้ถามสะหัลว่า จงเล่าให้พวกเขาฟังเถิดว่า ทำไมอาลีถูกเรียกว่า
 “อะบุตตุรอบ สะหัลได้เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮ
 ได้มาที่บ้านของฟาตีมะฮและไม่พบท่านอาลี (..) ท่านได้ถามขึ้นว่าบุตรชายลุงอยู่ที่ไหน ฟาติมะฮ  เขามีเรื่องบางอย่างกับข้าพเจ้า    เขาโกรธข้าพเจ้าและเขาก็ได้ออกไปโดยไม่นอนกลางวันที่ข้าพเจ้า  ท่านรอซูลุลลอฮ ได้กล่าวแก่คนหนึ่งว่าจงไปดูซิว่าเขาอยู่ที่ไหนต่อมาคนนั้นได้กลับมาและแจ้งว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ เขากำลังนอนอยู่ในมัสยิด  ต่อมาท่านรอซูลุลลอฮได้มาหาเขา ขณะที่เขากำลังนอนตะแคงอยู่ผ้าคลุมตกลงมาจากสีข้างของเขาและดินได้ติดอยู่ที่ร่างของเขา ท่านรอซูลุลลอฮ ได้ลูบดินออกจากตัวเขา โดยท่านได้กล่าวว่า  จงลุกขึ้นเถิด  อะบุตตุรอบ  จงลุกขึ้นอะบุตตุรอบ    
                                                                รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
               
5. เล่าจาก สะอัด บุตร อะบีวักกอซ (..) ได้กล่าวว่า  มุอาวิยะฮได้ใช้ข้าพเจ้าให้
อะบุตตุรอบ   ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ายังคงระลึกถึง  สามประการที่ท่านรซูลุลลอฮ
ได้กล่าวแก่เขา  ดังนั้นข้าพเจ้าจะไม่ด่าเขา เพราะการที่ประการหนึ่งจากสามประการนั้นจะมาเป็นของข้าพเจ้า  มันก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่งกว่าอูฐแดงความจริงท่านรซูลุลลอฮ   ได้แต่งตั้งเขาเป็นผู้สำเร็จราชการในบางครั้งที่ท่านออกศึก  อาลีได้กล่าวว่า ท่านได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้อยู่กับพวกผู้หญิงเด็กๆหรือข้าพเจ้าได้ยินท่านรซูลุลลอฮ  กล่าวว่า ท่านไม่พอใจหรือที่กับข้าพเจ้าได้อยู่ในตำแหน่งของฮารูนกับมูซา  แต่จะไม่มีตำแหน่งนบีอีกหลังจากข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวในวันคอยบัรว่า ข้าพเจ้าจะต้องมอบธงให้กับชายคนหนึ่งที่เขารักอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ และอัลลอฮ I กับรซูล  ก็รักเขา ผู้เล่าได้กล่าวว่า  พวกเรามีความทะเยอทะยานอยากได้ธงนั้น  ต่อมาท่านนบี ได้กล่าวว่า พวกท่านจงไปเรียกตัวอาลีมาหาข้าพเจ้า อาลีได้ถูกนำตัวมาในสภาพที่ตาเจ็บ  ท่านนบี  ได้ถ่มน้ำลายลงในดวงตาของเขา  และท่านนบี  ได้มอบธงให้เขาและพระองค์อัลลอฮI ได้ให้ชัยชนะขึ้นอยู่กับเขา และเมื่อโองการนี้ได้ประทานลงมาจงประกาศเถิด (โอ้  มูฮัมหมัด แก่พวกศรัทธาในคัมภีร์ว่า ) เชิญพวกท่านมาที่นี่ เราจะเรียกลูกหลานของเรา  และลูกหลานของพวกท่านท่านรอซูลุลลอฮ  ได้เรียกฟาติมะฮ  ฮะซัน  และฮุเซน  มาแล้วกล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮI  พวกเขานี่แหละเป็นครอบครัวของข้าพเจ้า  
                                                                                                รายงานโดยมุสลิม  และติรมีซี

6. เล่าจากเชค บุตร อัรกอม (..) จากท่านนบี I ได้กล่าวว่าผู้ใดที่ข้าพเจ้าเป็นคนรักของเขา ดังนั้นอาลีก็เป็นคนรักของเขาด้วย
                                                                           รายงานโดยติรมีซี

7. และเล่าจาก (เชค) ว่า เขาเคยกล่าวว่า บุคคลแรกที่เข้านับถือศาสนาอิสลามคือ อาลี อัมร บุตรมุรเราะห์ ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้เล่าเช่นนั้นแก่ อิบรอฮีมอันนะคออีย์ เขาได้กล่าวว่า  บุคคลแรกที่ได้เข้าอิสลามคืออบูบักรอัซซิดดีก
                                                                           รายงานโดยติรมีซี

8.เล่าจากอัลบะรออบุตร อาซิม  (..)  ว่าแท้จริงท่านบี   ได้กล่าวแก่  อาลี  บุตรอาบูฏอลิบว่า  ท่านเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า  และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของท่าน
                                                                           รายงานโดยติรมีซี

9.เล่าจากริบอีย์  บุตร  ฮิรอซ  (..)  ได้กล่าวว่า  อาลีบุตรอะบีตอลิบได้เล่าให้เราฟังขณะอยู่ที่สนามแห่งหนึ่ง  โดยได้กล่าวว่า  ในวันฮุไดบียะห์นั้น  มีพวกมุชรีกีน (พวกผู้ตั้งภาคีออกยังพวกเรา  ในพวกเขาเหล่านั้นมี  สุไหล์  บุตร อัมร์  และมีหัวหน้าพวกมุชริกีน  อีกกลุ่มหนึ่งพวกเขาได้กล่าวว่า  โอ้ท่านรซูลุลลอฮ  มีลูกหลาน พวกพี่น้อง และทาสของเรากลุ่มหนึ่ง ออกมาอยู่กับท่านโดยที่พวกเขาไม่มีความเข้าใจในศาสนา   ความจริงพวกเขาออกมาเพราะต้องการหลบหนีจากทรัพย์สมบัติ  และที่ดินของเรา  ดังนั้นขอให้ท่านจงส่งพวกเขาคืนแก่พวกเราด้วย  ท่านนบี  ได้กล่าวว่า  ถ้าหากพวกเขาไม่มีความเข้าใจในศาสนา  ต่อไปนี้เราจะทำให้พวกเขาเข้าใจในศาสนา  หลังจากนั้นท่านนบี   ได้กล่าวว่า  โอ้ชาวกุเรชทั้งหลายพวกท่านต้องยุติการกระทำของพวกท่าน  หรือ (ไม่เช่นนั้นพระองค์อัลลอฮ I  จะต้องส่งผู้ที่จะมาฟันคอพวกท่านด้วยดาบบนแนวทางของศาสนา  ซึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์อัลลอฮ I ได้ทดสอบหัวใจของเขาแล้วบนการศรัทธาพวกเขาถามว่าเขาคือใครโอ้ท่านรซูลุลลอฮ  และอบูบักรก็ได้ถามว่าเขาเป็นใคร  โอ้ท่านรซูลุลลอฮ  ?  อุมัรก็ได้ถามว่า  เขาเป็นใครโอ้ท่านรซูลุลลอ  ฮ ท่านได้ตอบว่า  เขาคือคนเย็บรองเท้า  เพราะปรากฏว่าท่านได้มอบรองเท้าให้อาลีเย็บ  ผู้เล่าได้กล่าวว่า  หลังจากนั้นอาลีได้หันมายังพวกเราและได้กล่าวว่า  แท้จริงท่านรซูลุลลอฮ   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดโกหกเหนือข้าพเจ้าโดยเจตนาให้เขาจงเตรียมที่อยู่ของเขาจากไฟนรก
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

10. เล่าจากอิมรอน บุตร ฮุซอยน์ (.) ได้กล่าว่า ท่านรอซูลลุลลอฮ  ได้จัดส่งทหารกองหนึ่งและท่าได้แต่งตั้งอาลีให้เป็นแม่ทัพคุมทหารกองนั้น, อาลีได้ออกเดินทางไปกับเหล่าทหารนั้น ต่อมาอาลีได้ร่วมหลับนอนกับทาสหญิงคนหนึ่ง พวกทหารจึงได้ประณามอาลี,และได้มีอัครสาวกสี่ท่านตกลงกันจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าให้ท่านนบี (.) รับทราบ, เมื่อพวกเขาได้กลับมา, และเป็นประเพณีบรรดามุสลิมนั้น เมื่อกลับจากการเดินทางพวกเขาจะเริ่มต้นที่ท่านรซูลุลลอฮ  ก่อน, พวกเขาจะกล่าวสลามแก่ท่าน และแยกย้ายกันกลับไปที่พักของเขา, และเมื่อกองทหารได้เข้ามา พวกเขาได้กล่าวสลามแก่ท่านนบี ต่ออัครสาวกคนหนึ่งจากสี่ท่านนั้นได้ลุกขึ้นยืน และรายงานว่า โอ้ท่านรซูลุลลอฮ   ท่านไม่ทราบหรือว่าอาลีได้กระทำอย่างนั้นๆ ท่านนบี  ได้เบือนหน้าหนีจากเขาอัครสาวกคนที่สองได้ลุกขึ้น และได้กล่าวเหมือนคำพูดของคนแรก  ท่านนบี ก็เบือนหน้าหนีจากเขา หลังจากนั้นคนที่สามได้ลุกขึ้นและได้กล่าวเหมือนกับสองคนแรก จากนั้นคนที่สี่ก็ได้พูดขึ้นเหมือนที่พวกเขาได้พูด ท่านรซูลุลลอฮ  ได้ผินหน้ามาทางพวกเขา  ความโกรธรู้ได้จากสีหน้าของท่านแล้วท่านก็ได้กล่าวว่า พวกท่านต้องการอะไรจากอาลี และท่านได้ย้ำถึงสามครั้งจากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงอาลีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา และเขาเป็นคนรักของผู้มีศรัทธาทุกคนภายหลังจากข้าพเจ้า
                                                                           รายงานโดยติรมีซี 

11. เล่าจาก อุมม์ ซะลามะฮ์ (.ได้กล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ เคยกล่าวว่า; จะไม่รักอาลีหรอกคนหน้าไหว้หลังหลอก และจะไม่โกรธเกลียดอาลีหรอกคนที่มีศรัทธา
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

12.เล่าจาก บุรอยดะห์ (.) จากท่านนบี  ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ I ได้ใช้ข้าพเจ้าให้รักสี่คน และได้บอกข้าพเจ้าว่า ท่านรักบุคคลทั้งสี่นั้น ได้มีผู้ถามว่า โอ้ ท่านรซูลุลลอฮ  จงเอ่ยนามพวกเขาให้พวกเราได้ทราบ ท่านกล่าวว่า อาลีเป็นคนหนึ่งจากพวกเขา ท่านได้กล่าวอย่างนั้นถึงสามครั้ง และอะบูซัรร มิกดาร บุตร อัลอัสวัด และซัลมาน ท่านนบี  ใช้ข้าพเจ้าให้รักพวกเขา และได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านรักพวกเขา                      
                                                                           รายงานโดยติรมีซี

13.เล่าจากฮะบะซีย์ บุตร ยะนาดะห์ (.) จากท่านนบี  ได้กล่าวว่า อาลีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของอาลี และไม่มีใครปฏิบัติการแทนข้าพเจ้านอกจากข้าพเจ้าเองหรืออาลี
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

14.และท่านอิบนุอุมัร (.)ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่างบรรดาอัครสาวกของท่าน ต่อมาอาลีได้มาในสภาพที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขามีน้ำตาไหลนองและได้พูดขึ้นว่า โอ้ท่านรซูลลุลลอฮ   ท่านได้สถาปนาความเป็นพี่นองกันระหว่างอัครสาวกของท่าน แต่ท่านไม่ได้สถาปนาความเป็นพี่น้องกันระหว่างข้าพเจ้ากับผู้ใดเลย ท่านรซูลลุลลอฮ   ได้กล่าวแก่อาลีว่า ท่านเป็นพี่น้องของข้าพเจ้าทั้งโลกนี้และโลกอาคีเราะห์
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

15.เล่าจากอาลี(.) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าข้าพเจ้านั้นเมื่อขอท่านนบี  ท่านจะให้ข้าพเจ้า และถ้าหากข้าพเจ้านิ่งเฉย ท่านก็จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นข้าพเจ้าก่อน
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

16.เล่าจาก อัลบะรออ (.) ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ได้ส่งทหารออกไปสองกองและได้แต่งตั้งอาลีให้เป็นผู้นำทหารกองหนึ่ง และอีกกองหนึ่งท่านได้แต่งตั้งคอลิดบุตรอัลวาลิดแล้วท่านได้กล่าวว่า ถ้าหากมีการปะทะต่อสู้กันให้อาลีเป็นผู้นำทัพ ต่อมาได้มีชัยชนะต่อป้อมปราการแห่งหนึ่ง และท่านได้จับทาสคนหนึ่งเอามาจากป้อมนั้น ต่อมาคอลิดได้เขียนสาสน์ฉบับหนึ่งส่งพร้อมกับข้าพเจ้าส่งท่านนบี  ติเตียนอาลี ต่อมาข้าพเจ้าได้เข้าไปหาท่านนบี  และได้มอบสาสน์นั้นให้แก่ ท่าน ท่านได้อ่านมันและหน้าของท่านก็เปลี่ยนไป หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า  เจ้ามีความเห็นอย่างไรในผู้ชายคนหนึ่งที่รักอัลลอฮ I และรซูล  ของพระองค์ และอัลลอฮ I กับรซูล  ของพระองค์ก็รักเขา  ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลลอฮ I จากความกริ้วโกรธ ของอัลลอฮ I และจากความกริ้วโกรธของรซูล  ของพระองค์ ความจริงข้าพเจ้าเป็นเพียงทูต ผู้ทำหน้าที่ ถือสาสน์เท่านั้นแล้วท่านก็นิ่ง
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

17. ยาบิร (.) ได้กล่าวว่า ท่านรซูลุลลอฮ  ได้เรียกอาลีเข้าไปในวันตออิฟและได้ซุบซิบกับอาลี ประชาชนได้กล่าว่า ท่านนบี  ได้ซุบซิบกับ บุตรชายลุงของท่านเป็นเวลานาน ท่านรซูลุลลอฮ ได้กล่าว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ซุบซิบกับเขาแต่พระองค์อัลลอฮ  I ต่างหากที่ซุบซิบกับเขา
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

18.อะบูสะอีด (.) ได้กล่าวว่า ท่านร ซูลุลลอฮ  ได้กล่าวแก่อาลี โอ้ อาลี ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมีมลทิน (ยุนุบ) เดินภายในมัสยิดนี้ นอกจากข้าพเจ้าและนอกจากท่าน
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี

19.เล่าจากอุมมิ  อะติยะห์  ได้กล่าว่า  ท่านนบี   ได้ส่งกองทหารออกไปกองหนึ่งโดยมีอาลีอยู่อยู่ในกกองทหารนั้นด้วย อุมมิอะติยะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี  ขณะที่ท่านยกสองมือของท่านขึ้นกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ Iโปรดอย่าให้ข้าพเจ้าตายจนกว่าพระองค์ท่านจะให้ข้าพเจ้าได้เห็นอาลี
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี
20.เล่าจากอะนัส  (..)  ได้กล่าว่า  : ปรากฏว่าท่านนบี   มีนกอยู่ตัวหนึ่งต่อมาท่านได้กล่าว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ I ได้โปรดนำบุคคลที่พระองค์ท่านรักยิ่งจากบรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ท่านได้สร้างขึ้ง  มาหาข้าพเจ้าด้วยเพื่อที่เขาจะได้รับประทานนกตัวนี้พร้อมกับข้าพเจ้าต่อมาอาลีได้มาและได้ร่วมรับประทานกับท่าน
                                                                                    รายงานโดยติรมีซี
21.เล่าจากอะลี  (..)  จากท่านบี   ได้กล่าว่า  ขอพระองค์อัลลอฮ I ได้โปรดประทานความเมตตาแก่อบูบักรที่ได้แต่งงานบุตรสาวของเขาให้แก่ข้าพเจ้าและได้พาข้าพเจ้าไปยังดินแดนแห่งการอพยพ  และได้ปลดปล่อยบิลาลให้เป็นอิสระจากทรัพย์สมบัติของเขา  ขอพระองค์อัลลอฮ I ได้โปรดประทานความเมตตาแก่อุษมาน  ที่มวลมะลาอิกะฮ์มีความมละอายเขา  ขอพระองค์อัลลอฮ I ได้ประทานความเมตตาแก่อาลี  ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ I ได้โปรดหมุนเวียนสัจธรรมให้อยู่กับเขาในที่ๆเขาได้หมุนเวียนไป
                                                                           รายงานโดยติรมีซี
22. เล่าจากเขา (อาลีจากท่านนบี   ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นคลังแห่งวิทยปัญญาและอาลีเป็นประตูของมัน 

                 รายงานโดย  ติรมีซี  ตอบารอนี  และฮากิมมถือว่าเป็นหะดิษศอเหี๊ยะห์


23. เล่าจากอัลอักเราะอ  ผู้ทำหน้าที่อาซานของอุมัร  (..)  ได้กล่าวว่า  อุมัรได้ส่งข้าพเจ้าไปหานักบวชในศาสนาคริสต์  ข้าพเจ้าจึงได้ไปเชิญเขามา  จากนั้นอุมัรได้ถามเขาว่า  ท่านพพบลักษณะของข้าพเจ้าไหมในคัมภีร์เขาตอบว่าพบ  อุมัรได้ถามว่า  ท่านพบข้าพเจ้าเป็นอย่างไรเขาตอบว่า  ข้าพเจ้าพบท่านเป็นเขาสัตว์  ผู้เล่าได้กล่าวว่า  อุมัรได้เงื้อ  คทาขึ้นไปหาเขา  (หมายที่จะตีเขาเพราะเข้าใจว่าเป็นการประณาม) อุมัรได้ถามขึ้นว่า  ที่ว่าเป็นเขาสัตว์นั้นหมายความว่าอย่างไรเขาตอบว่า  เป็นป้อมปราการเหล็ก  เป็นผู้ค้ำประกัน (ปวงชนมุสลิมเป็นผู้รุนแรงเหนือศัตรู  อุมัรได้ถามว่า  ท่านพบผู้ที่จะมาภายหลังข้าพเจ้าอย่างไร  ?  เขาตอบว่า ข้าพเจ้าพบว่าเป็นคอลีฟะฮ์ที่เป็นคนดี  แต่เขาให้ความรักเป็นพิเศษแก่เครือญาติที่ใกล้ชิดของเขา  อุมัรได้กล่าวว่า   พระองค์อัลลอฮI จะประทานความเมตตาแก่อุษมาน   (ได้ย้ำ)   สามครั้ง,   จากนั้น อุมัรได้ถามว่าท่านพบบุคคลที่จะมาภายหลังจากเป็นอย่างไร  ?  เขาตอบว่า  ข้าพเจ้าพบว่าเขาเป็นสนิมเหล็ก  อุมัรได้วางมือลงบนศีรษะของเขาแล้วกล่าวว่า  โอ้ความเน่าเหม็นในอิสลาม  โอ้ความเน่าในอิสลาม  (โดยอุมัรเข้าใจว่าเป็นการประณามเขาจึงกล่าวว่า  โอ้  ผู้นำมวลผู้ศรัทธาความจริงเขาเป็นคอลีฟะฮ์  ที่เป็นคนดีแต่เขาถูกแต่งตั้งในขณะที่เขาถูกแต่งตั้งนั้น  ดาบกำลังเปลือยฝัก  เลือดกำลังหลั่งนอง 

                                                   รายงานโดย  อะบูดาววูดด้วยรายงานที่ศอเหี๊ยะห์

(หะดิษศอเหียะฮ เล่ม 6 : 618-625)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น