อิสลามได้กำเนิดขึ้นโดยนำเสนอสิ่งใหม่ๆที่สังคมมนุษย์ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นไม่ทราบมาก่อนและเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่บางส่วนของชาวอาหรับปฏิเสธและต่อต้านหลักคำสอนของอิสลามเพราะไม่อาจจะรับสิ่งใหม่ๆที่นำเสนอโดยท่านศาสดามูฮัมมัดได้
ความจริงอีกประการหนึ่ง คือ
อิสลามในฐานะที่เป็นศาสนาและวิถีชีวิตที่สามารถยินหยัดอยู่ได้ในกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมโลกนั้นเป็นเพราะอิสลามจะมีลักษณะที่เป็น
Dynamic[1]
และมีความเป็น Modernity ในธรรมชาติของหลักคำสอนของอิสลามอันบริสุทธิ์นั้นเอง
อิสลามคือหลักการและแนวทางในการแก้ปัญหาโลกและสังคม
ความเป็นสมัยใหม่ คือ
กระแสที่นำเสนอต่อโลกและสังคมในสภาพที่โลกและสังคมกำลังคลั่งไคล้กับวัฒนธรรมบริโภคนิยมและความเจริญที่เป็นวัตถุนิยมเป็นหลัก
ความเป็นสมัยใหม่ส่วนมากจะยึดติดกับความเป็นโลกียะ
อย่างไรก็ตามความเป็นสมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่อิสลามไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อต้านแต่กลับกันอิสลามมองว่าความเป็นสมัยใหม่ที่เป็นประโยชน์กับมนุษยชาติและสังคมที่สอดคล้องกับหลักคำสอนอิสลามนั้นเป็นมรดกอันล้ำค่าที่มุสลิมจะต้องนำมาปรับใช้ปรับปรุงและพัฒนาเพราะมันเป็นมรดกตกทอดของมุสลิมที่มุสลิมได้ทำให้สูญหายไปเพราะแก่นแท้ในหลักคำสอนอิสลามจากอัลกุรอานและหะดีษของท่านศาสดาแล้ว
คือ ความเป็นสมัยใหม่และใหม่กว่า ความเป็นสมัยใหม่ในโลกปัจจุบันหลายเท่าทวีคูณ
ความเป็นสมัยใหม่ในส่วนนี้คือการมองมนุษย์ในฐานะศูนย์กลาง
ของสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกจักรวาล
และความเป็นสมัยใหม่อีกประการหนึ่งคือกระบวนการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นองค์รวม
คือ
พัฒนาความเป็นจิตนิยมและความเป็นวัตถุนิยมในตัวของมนุษย์อย่างควบคู่กันเพราะสองส่วนที่ได้กล่าวนั้นคือ
ตัวตนอันเป็นศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์นั้นเอง
อิสลามไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนรกและสวรรค์เป็นหลักเท่านั้น
แต่อิสลามจะให้ความสำคัญในเรื่องที่เกี่ยวกับโลกปัจจุบันมากเท่าๆกัน
ความเป็นจริงการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า(อัลลอฮฺ)
มนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
เป็นกิจกรรมที่มนุษย์ต้องแสดงออกถึงปฏิสัมพันธ์ในเชิงความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆที่ได้กล่าวถึงในโลกที่เป็นปัจจุบันที่เขากำลังมีชีวิตอยู่
ความสัมพันธ์ในเรื่องดังกล่าวคือ ส่วนสำคัญที่กำหนดอนาคตของมุสลิมว่าจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นนรกหรือสวรรค์
อิสลามและมุสลิมได้เริ่มเข้ามาทางตอนใต้ของประเทศไทยในตอนต้นศตวรรษที่11(คือประมาณในปีค.ศ.1081
หรือ ค.ศ.1102) ในเมืองปาตานี (คือปัตตานี ยะลา นราธิวาส
สตูลและบางส่วนของสงขลาในปัจจุบัน)และได้เข้ามาในส่วนกลางของประเทศไทยในต้นศตวรรษที่16
ในสมัยการปกครองของพระเจ้าเอกาทศรถ(1605-1620)
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นเชิงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมคือประมาณในศตวรรษที่13
และ 14 เมื่อเจ้าเมืองและประชาชนในเมืองปาตานีได้เปลี่ยนมารับศาสนาใหม่คืออิสลาม
และเมืองปาตานีได้ประกาศเป็นรัฐอิสลามอย่างเป็นทางการในค.ศ.ที่1457
ประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ควรแก่ศึกษาเพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจในบริบทคำอธิบายของคำว่าความเป็นสมัยใหม่
หากว่าเรามิได้ยึดติดกับรูปแบบความเป็นสมัยใหม่ที่จะต้องเป็นสิ่งปรากฏขึ้นในศตวรรษที่20
และจะต้องเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของตะวันตก ที่เน้นความเป็นโลกียะเป็นหลัก
อิสลามคือความเป็นสมัยใหม่ในช่วงนั้น
ซึ่งใหม่ในเชิงนัยยะที่เป็นหลักคำสอนและใหม่ฝนเชิงที่เป็นวิถีชีวิตที่ได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงหลายๆส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม
เช่น ครอบครัว การศึกษาวัฒนธรรมและการเมืองของผู้คน
ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะในพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศไทย
คือ ปาตานีในอดีต (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางส่วนของสงขลาและพัทลุง)
จากเดิมที่พื้นเหล่านี้มีฮินดูและพุทธเป็นแกนกลางในการกำหนดโครงสร้างทางสังคมไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางครอบครัว
การศึกษา วัฒนธรรม
และการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างทางสังคมที่ชายถูกกำหนดให้เป็นใหญ่ดังที่นักวิชาการเรียกสมัยนั้นว่าเป็น
สังคมปิตาธิปไตย
แต่อิสลามได้เข้าปรับเปลี่ยนใหม่ให้เกิดการยอมรับผู้หญิงคือส่วนหนึ่งยอมรับผู้หญิงคือส่วนหนึ่งของสังคมที่มีสถานภาพศักดิ์ศรีแห่งเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
การกำหนดสินสอด(มะฮัร)ของผู้หญิง การกำหนดสัดส่วนที่ผู้หญิงในอิสลามจะได้รับ
การกำหนดสิทธิที่ลูกสาวจะได้รับไม่ว่าจะเป็นความรักเกียรติ
และสิทธิด้านอื่นๆเป็นต้น
แต่เนื่องจากอิสลามในยุคสมัยนั้นได้มีการนำเสนออิสลามที่ไม่สมบูรณ์และเต็มรูปแบบคือ
ส่วนมากเป็นการนำเสนอในเชิงพิธีกรรมมากว่าที่เป็นวิถีชีวิต
ดังนั้นหลายๆส่วนที่มุสลิมโดยทั่วไปเข้าใจว่าความเป็นสมัยใหม่ที่ได้นำเสนอในรูปแบบต่างๆในปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่อิสลามห้ามและไม่อาจที่จะรับได้
โดยขาดการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดและเป็นระบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหวนกลับศึกษาหลักการต่างๆที่ปรากฏในอัลกุรอานและหะดีษของท่านศาสดาในเชิงที่เป็น
Positive
View และการย้อนกลับศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆทางสังคมที่เคยปฏิบัติในสมัยของท่านศาสดาและเศาะฮาบะฮฺที่นักวิชาการอิสลามศึกษาเรียกว่า
Normamtive islam
ซึ่งสองส่วนนี้มีส่วนสำคัญมากสำหรับมุสลิมและอิสลามที่เผชิญกับความท้าทายของความเป็นสมัยใหม่ในโลกปัจจุบันในเชิงที่สร้างสรรค์และพัฒนา
การท้าทายของโลกสมัยใหม่ที่มีกระแสแรงมากในปัจจุบันคือ
เรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นประชาธิปไตย
และอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความท้าทายของผู้หญิงในอิสลาม คือ
เรื่องบทบาทของผู้หญิงในโลกสมัยใหม่ทั้งที่เป็นเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
รูปแบบและแนวคิดที่เป็นการท้าทายของโลกสมัยใหม่ต่อผู้หญิงอิสลามที่ได้กล่าวถึงหากว่าไม่นับรวมทั้งหมดที่เบ็ดเสร็จทั้งที่เป็นการ
รูปแบบและแนวปฏิบัติของเสรี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยแล้ว
หลายๆส่วนของหลักการเสรีภาพ ความเท่าเทียมและประชาธิปไตย คือ อิสลาม นั้นเอง
หากว่าประชาธิปไตย หมายถึงสิทธิของผู้หญิงในการเลือกผู้นำ
สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทั้งที่เห็นด้วยหรือเห็นต่างกับรัฐ
สิทธิในการรับรู้ถึงข้อมูลข่าวสารและการตรวจสอบ
สิทธิในการเป็นตัวแทนในองค์กรของภาครัฐและเอกชน
สิทธิในการปกป้องความเป็นธรรมในสังคม
และอื่นอีกมากมายที่ได้กำหนดไว้ในอิสลามย่อมเป็นเรื่องเดียวกับความเป็นสมัยใหม่
ที่หลายคเข้าใจผิดว่านั้นคือ ความท้าทายของมุสลิมและอิสลาม
นอกจากประชาธิปไตยตามนัยยะที่กล่าวถึงอำนาจอธิปไตย
ต้องมาจากประชาชน(ทั้งที่เป็นชายและหญิง) ที่อิสลามเห็นต่างกัน คือ
อำนาจอธิปไตยในอิสลามนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺในฐานะที่พระองค์เป็น อิลาฮ(พระเจ้า)และเป็นร็อบ(พระผู้อภิบาล)ที่ทรงรอบรู้ดีที่สุดทั้งที่เป็นธรรมชาติ
รายละเอียดและข้อเท็จที่เกี่ยวกับมนุษย์และสังคม
ดังนั้นพระองค์เท่านั้นที่เหมาะสมในการกำหนดอำนาจอธิปไตยในการบริหารและจัดการโลกและสังคมอย่างเบ็ดเสร็จและสมบูรณ์
บทบาทของผู้หญิงในอิสลามในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจและสังคมเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่งที่อิสลามและเป็นสมัยใหม่ที่ผู้คนได้นำมาโยงให้เห็นถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งที่เป็นความจริงในอิสลามได้กำหนดบทบาทต่างๆของผู้หญิงอย่างชัดเจนในฐานะที่เป็นแม่และภรรยา
แต่อย่าลืมว่าผู้หญิงยังมีอีกหนึ่งสถานะในฐานะที่เป็นเคาะลีฟะฮฺของอัลลอฮฺในโลกนี้(ตัวแทนของอัลลอฮฺ)ที่ผู้หญิงในอิสลามต้องมีพันธะกิจเฉกเช่นเดียวกับชาย(แต่จะไม่ทำลายภารกิจหลักที่กำหนด)บทบาทของผู้หญิงในอิสลามสามารถเป็นนายอำเภอ
ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกรัฐมนตรีหรือแม้แต่ประธานาธิบดีได้
นอกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดของรัฐอิสลามคือ เคาะลีฟะฮฺหรือ อิมามะตุล กุบรอ/อิมามะตุล อุซมา (Mustafa
Sebai,1986) บทบาททางด้านเศรษฐกิจและสังคมของผู้ในอิสลามเป็นบทบาทที่อิสลามเปิดโอกาสให้ทุกคนที่เท่าเทียมกัน[2]
ตำแหน่ง CEO สำหรับผู้หญิงในอิสลามนั้นไม่ได้ถูกห่วงห้ามหรือจำกัดสิทธิแต่อย่างใด
ดังที่ปรากฏหลักฐานในสมัยของท่านศาสดาและบรรดาเศาะฮาบะฮฺ
จะมีผู้หญิงดำรงอยู่ในตำแหน่งต่างๆที่กล่าวมาอย่างหลากหลาย อาทิเช่น Ummu
al-Mudair binti Qays เป็นนักธุรกิจที่รับซื้อและขายอิทผลัมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองมะดีนะห์ในสมัยของท่านศาสดา
Asma binti Makramah bin Jandal เป็นนักธุรกิจหญิงนำเข้าและจำหน่ายน้ำมันหอมในมะดีนะห์ al shifa binti Abdullah bin abdusham al-Qurayshiyah เป็น CEO ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารตลาดใหญ่เมืองมะดีนะห์ (Shaikhah
Suq al-Madinah) ในสมัยของอุมัร อิบนุ คอฏฏอบ (Haji Faisl,1993)
ปรากฏการณ์ที่ได้กล่าวถึงคือ
รูปแบบที่อิสลามอนุมัติและส่งเสริมให้ผู้หญิงในอิสลามสามารถปฏิบัติในโลกปัจจุบัน
ซึ่งแน่นอนหากว่าเรามุสลิม(ชาย)เปิดใจกว้างเราจะค้นพบโลกแห่งความเป็นในอิสลามมิใช่โลกที่เรา(ชาย)ได้หลอกสร้างขึ้นในโลกแห่งจิตนาการ
[1] อิสลามจะเป็นหลักคำสอนที่สองลักษณะที่สำคัญ คือ
มีความคงที่และเปลี่ยนแปลงได้
หลักคำสอนอิสลามที่มีความคงที่จะเป็นหลักคำสอนที่เกี่ยวกับอากีดะห์หรือหลักการศรัทธาหรือความเชื่อในอิสลามโดยเฉพาะหลักศรัทธาหกประการและหลักการอิสลามที่ถูกกำหนดอย่างชัดแจ้งทั้งในอัลกุรอานและสุนนะฮฺของท่านศาสดา
แต่หลักการปฏิบัติทางสังคมส่วนใหญ่แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงบริบท
ทางสังคมและวัฒนธรรมตลอดเวลา
แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ขัดกับหลักการที่ถูกกำหนดโดยอัฃกุรอานและหะดีษของท่านศาสดาในฐานะที่เป็นตัวบทในอิสลาม
[2]
สำหรับผู้ชายนั้นมีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้สำหรับผู้หรับผู้หญิงนั้นก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกนางได้ขวนขวายไว้และพวกเจ้าจงขอต่ออัลลอฮฺเถิดจากความกรุณาของพระองค์
แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งทุกอย่าง (อัลกุรอาน 4:32)
และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงที่ศรัทธาต่างคนต่างเป็นมิตรของกันและกันและพวกเขาใช้แต่การดีและห้ามสิ่งต้องห้าม
ขอบคุณจ้าสำหรับบทความดีๆ
ตอบลบmuslim names
อัสสาลามูอาลัยกุมคะ
ตอบลบ...
อยากได้ข้อมูล เนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิสลามในราชวงศต่างๆ
เริ่มตั้งเเต่ท่านนบีมูฮำหมัด จนถึงยุคสดท้าย
เเละที่สำคัญ..อยากได้เนื้อหาที่บ่งบอกหรือเเสดงถึงการขยายอำนาจอิสลามในดินเเดงต่างๆ
เช่น ตะวันออกกลาง หรือโซนต่างๆด้วยคะ..
...
ญาซากัลลอฮฺมากๆคะ