เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คอลีฟะฮ อุษมาน บิน อัฟฟาน ตอนที่ 1


โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี  เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ


ก่อนที่คอลีฟะฮ์อุมัรจะสิ้นชีวิตนั้น ท่านได้แต่งตั้งคณะกรรมการผู้อาวุโสขึ้น 6 คน เพื่อเลือกคอลีฟะฮ์คนที่สามต่อจากท่าน สมาชิกอาวุโสเหล่านี้ล้วนเป็นสาวกผู้ใกล้ชิดท่านนบีมูฮัมมัด  ทั้งหมด   ซึ่งประกอบด้วย 1.อุสมาน 2.อะลี 3. อับดุรเราะฮฺมาน บิน เอาฟฺ 4.ฏ็อลฮะฮฺ 5. ซุเบร 6. ซะด์ บิน อบีวักกอศ
หลังจากที่พิจารณากันอย่างรอบคอบแล้ว คณะกรรมการตัดสินก็ตัดสินให้อุสมานเป็นคอลีฟะฮ์สืบต่อจากท่านคอลีฟะฮ์อุมัร   ท่านอุสมานเป็นคนที่มั่งคั่งและให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่การปฏิบัติภารกิจอิสลามของท่านนบีมูฮัมมัด  มาตลอด ไม่เพียงแต่เท่านั้น เขายังเดินทางร่วมไปกับท่านนบีมูฮัมมัด  ในการออกรบทุกครั้ง ยกเว้นเพียงครั้งเดียวคือสงครามบะดัรเพราะในช่วงนั้นภรรยาของท่านป่วยหนัก
ในตอนที่ท่านเข้ามาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์นั้น สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆได้เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนหน้านี้มาก เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนในรัฐอิสลามมีความมั่งคั่ง ผู้คนไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบากเหมือนสมัยก่อนและการที่ดินนั้น ในวันที่เข้ารับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ อุสมานจึงได้เตือนผู้คนให้ทำความดีและเตรียมตัวไว้สำหรับโลกหน้าและท่านได้กล่าวว่า โลกนี้คือกับดัก จงระวังมันให้ดี จงห่างไกลจากกับดักแห่งความชั่วและจงอุทิศชีวิตของพวกท่านเพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ Iหลังจากนั้นท่านก็ได้ออกคำสั่งไปยังผู้ปกครองและแม่ทัพมุสลิมดูแลเมืองต่างๆว่าการปกครองและการทหารจะต้องดำเนินไปตาม       อัลกรุอานและแบบอย่างคำสั่งของท่านนบีมูฮัมมัด  และย้ำให้บรรดาผู้ปกครองรักษามาตรฐานความยุติธรรมของอิสลามไว้
ในช่วงหกเดือนแรก พวกเปอร์เซียและพวกโรมันที่เคยพ่ายแพ้มุสลิมได้คิดว่ารัฐอิสลามหลังสมัยของท่านคอลีฟะฮ์อุมัร  คงจะอ่อนแอเพราะท่านอุสมานเป็นบุคคลคนที่อ่อนโยน จนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้   ดังนั้น พวกเปอร์เซียและพวกโรมันจึงวางแผนที่ยึดดินแดนของพวกตนที่ถูกยึดไปจากมุสลิม ในอเล็กซานเดรียมีการกบฏอย่างเปิดเผยโดยพวกโรมัน ดังนั้น ท่านคอลีฟะฮ์อุสมานจึงได้ส่งอุมัร บิน อัลอาศพร้อมกับกองทหารไปปราบจนพวกกบฏต้องหนีออกไปจากอียิปต์ หลังจากนั้น ฮ.. 25 ก็มีการกบฏเกิดขึ้นในอาเซอร์ไบญานและอาร์มีเนีย วะลิด บิน อุกบ๊ะฮฺจึงดุถูกส่งไประงับการก่อความไม่สงบและสามารถปราบกบฏได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น มุอาวียะฮฺ  ซึ่งเป็นแม่ทัพของมุสลิมอีกคนหนึ่งก็ได้นำกองทหารบุกเข้าไปในเอเชียไมเนอร์และยึดดินแดนต่างๆได้ที่อยู่ระหว่างอันติออค(Antioch) และซาร์นุส(Sarnus)ไว้ได้ หลังจากนั้นกองทหารมุสลิมก็ได้เข้าไปบุกอาฟริกาทางตอนเหนือและสามารถยึดตริโปลีไว้ได้ และจากนั้นอีกไม่นาน ตูนีเซีย อัลจีเรีย และโมรอคโคก็เป็นของมุสลิม
ด้วยความสามารถทางทหารและการปกครอง คอลีฟะฮ์อุสมานจึงได้แต่งตั้งให้มุอาวียะฮฺเป็นผู้ปกครองซีเรีย  มุอาวียะฮฺได้สั่งให้จัดตั้งกองทัพเรือมุสลิมเป็นครั้งแรกทั้งนี้เพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพเรือของพวกโรมันทางทะเล ไซปรัสเป็นเกาะแรกที่ถูกกองทัพเรือนี้ยึดได้ในทางด้านตะวันตก และในเวลานั้น ศูนย์กลางของกิจกรรมต่างๆ ในเขตตะวันออกคือบัสเราะฮฺซึ่งอบูมูซาอัล อัชอารีเป็นผู้ปกครองอยู่ แต่ต่อมา ท่านคอลีฟะฮ์อสมานได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งและแต่งตั้งอับดุลลอฮฺ บิน อามีรฺเข้ามาแทน ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองนี้เองพวกเปอร์เซียก็ได้ฉวยโอกาสก่อการกบฏขึ้น และในทาคาริสถานก็มีความไม่สงบเกิดขึ้นเช่นกัน  ดังนั้น   อับดุลลอฮฺ บินอามีรจึงได้รีบรุกไปยังเปอร์เซียและสามารถปราบได้อย่างราบคาบ
หลังจากนั้น อับดุลลอฮฺ บิน อามีรและซะด์ บิน อัลอาศก็มุ่งหน้าเข้ายึดเมืองคุรอซาน เมือง นิชาปูร์ ซีสสถานและกาบูล    การพิชิตเมืองต่างๆเหล่านี้ทำให้อาณาเขตทางด้านตะวันออกของรัฐอิสลามขยายมาจนถึงพรมแดนของอินเดียในขณะที่ทางตะวันตกขยายไปจนถึงชายฝั่งแอฟริกาขึ้นไปทางพรมแดนทางด้านตะวันออกของยุโรป
ตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของท่านอุษมานดำเนินไปอย่างราบรื่นในช่วง 5-6 ปีแรก  ชัยชนะและการขยายดินแดนได้ทำให้ผู้คนในรัฐอิสลามมีความมั่งคั่งมากขึ้น แต่ช่วงเวลาแห่งความราบรื่นนั้นก็ดำเนินไปได้ไม่นานนัก   คลื่นแห่งความขัดแย้งและความไม่สงบก็เกิดขึ้นในศูนย์กลางของรัฐอิสลาม  ซึ่งนำไปสู่จุดจบที่น่าสลดหดหู่ของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน ความขัดแย้งภายในและการกบฏภายนอกเกิดขึ้นโดยฝีมือของพวกยิว พวกโรโซแอสเตอร์และพวกคนทรยศที่เป็นศัตรูต่ออิสลามและต้องการที่จะแก้แค้นมุสลิม ผู้นำคนสำคัญของคนกลุ่มนี้และมีบทบาทในการสร้างความแตกแยกในสังคมมุสลิมคืออับดุลลอฮ บิน สะบะอ ซึ่งเป็นยิวที่แสร้งทำตัวเป็นมุสลิมและคอยฉกฉวยสถานการณ์บ่อนทำลายอิสลามทุกครั้งที่มีโอกาส
ในเวลานั้นมีปัจจัยบางอย่างที่เอื้ออำนวยให้แก่ยิวผู้นั้นโดยนำไปใช้ประโยชน์ (1) สาวกผู้ทรงความรู้ของท่านนบี  ได้มีจำนวนลดน้อยลงทุกวัน ดังนั้น มุสลิมจึงขาดแคลนแบบอย่างของความคิดและปฏิบัติที่ถูกต้อง (2) ท่านคอลีฟะฮ์อุมัร.ได้ห้ามมุสลิมที่มีลักษณะและความรู้ดีๆออกจากเมืองมาดีนะฮ ไปยังที่ไกลๆทั้งนี้  เพื่อที่พวกนักฉวยโอกาสโอกาสจะได้ไม่ใช้บุคคลเหล่านี้ไปเป็นสื่อในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่  เมื่อคอลีฟะฮ์อุษมานได้ยกเลิกข้อห้ามนี้ พวกนักฉวยโอกาสและพวกก่อความวุ่นวายก็ใช้โอกาสนี้เป็นประโยชน์รับใช้แผนการของตน (3)ในเขตที่ยึดได้บางแห่ง ผู้คนมีความแค้นมุสลิมฝังอยู่ในใจและคิดจะแก้แค้นมุสลิมทุกครั้งที่มีโอกาส ความรู้สึกเช่นนี้ก็ถูพวกนักฉกฉวยโอกาสนำไปใช้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน (4) ความขัดแย้งและการแข่งขันกันมาเป็นระยะเวลายาวนานระหว่างตระกูลฮาชิมและตระกูลอุมัยยะฮฺก็ยังคงมีอยู่ เนื่องจากอุสมานเป็นคนตระกูลอุมัยยะฮฺ คู่แข่งของท่านจึงมีโอกาสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของท่าน (5) การขยายดินแดนที่มีความมั่งคั่งมาสู่รัฐอิสลามนั้นได้ทำให้ความคิดและจิตใจของมุสลิมเปลี่ยนไปจากเดิมในทางที่ไม่ดี ความหลงในวัตถุทำให้เกิดการแก่งแย่งแข่งขันและการอิจฉาริษยากันในหมู่มุสลิม
สถานการณ์และปัจจัยดังกล่าวได้ถูกวางแผนการบ่อนทำลายนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นทั่วแผ่นดินอิสลาม จนกระทั่งผู้คนได้มีการชุมนุมกันประท้วงท่าน  คอลีฟะฮ์อุสมาน  จนในที่สุดก็ได้กลายเป็นการกบฏที่รุนแรง พวกกบฏได้เข้ามาปิดล้อมที่พักของท่านอุสมานอยู่เป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าท่านอาลีลูกเขยของท่านนบี  และท่านคอลีฟะฮ์อุสมานพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้การกบฏครั้งนี้สงบลง แต่ก็ประสบความล้มเหลว ในที่สุด วันที่ 18 เดือน ซุลฮิจญะฮฺ ฮ..35 (.. 656) พวกกบฏก็ได้บุกเข้าไปในบ้านของท่านคอลีฟะฮ์อุสมานและสังหารท่านด้วยการตัดศรีษะในขณะที่ท่านกำลังอ่านกรุอานอยู่ และเมื่อนางนาอิละฮฺภรรยาของท่านเข้ามาปกป้อง มือของนางก็ถูกพวกลอบสังหารฟันจนขาด

 
ปฐมวัย
                ท่านคอลีฟะฮ์อุสมานอ่อนวัยกว่าท่านนบี    6 ปี บิดาของท่านชื่อ อัฟฟาน ย่าของท่านคอลีฟะฮ์อุษมานชื่อไบซะห์ เป็นบุตรของท่านอับดุลมุตตอลิบผู้ซึ่งเป็นปู่ของท่านนบี   ท่านคอลีฟะฮ์อุสมานกำเนิดในตระกูลอุมัยยะห์ ซึ่งเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายจากเผ่ากุเรช
                เมื่อท่านคอลีฟะฮ์อุสมานเติบโตขึ้น ท่านได้ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า ซึ่งก็ประสบความรุ่งเรือง จนทำให้ท่านมีฐานะมั่งคั่งมาก เนื่องจากท่านคอลีฟะฮ์อุมานมีจิตใจเมตตา กรุณา  ดังนั้นท่านคอลฟะฮ์อุษมาน จึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือบุคคลที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากเสมอ  ชาวมักกะห์ ทั้งหลายซาบซึ้งในความเมตตาเผื่อแผ่ของท่านและต่างให้ความเคารพรักท่านคอลฟะฮ์อุมานอย่างจริงใจ
                ท่านคอลีฟะฮ์อุสมานเคยเป็นพ่อค้า   และได้เดินทางไปยังเมืองชาม อัลลอฮ I ได้ทรงประทานความ เป็นผู้ที่มีจรรยามารยาทที่ดี มีคุณสมบัติมากมาย เมื่อเติบโตก็เป็นคนหนุ่มที่มีคุณภาพ มีความประพฤติที่ดีงาม รักการให้อภัย มีความละอาย รักในกลุ่มชนของท่าน เป็นคนที่ประชาชนได้มอบความไว้วางใจ 
Uthman Ibni Affan belonged to a noble family of Quraish in Mecca. He was from the Umayyah family of Quraish. He was born in 575 A.D. His patronymic name was
" Abu Amr " . Uthman was one of the few persons of Mecca who knew reading and writing. When he grew up , he started business in cloth which made him very rich . He used his money in good ways and always helped the poor. Uthman was a soft natured and kind hearted man. He did not hesitate to spend any amount of money on seeing a man in trouble in order to remove his misery. For his noble qualities the Meccans had great respect for him
ท่านคอลีฟะฮ์อุสมาน บุตร อัฟฟาน บุตร อบุล อาส บุตร อุมัยยะฮ์ บุตร อับดุซซัม บุตร อับดิมานาฟ มารดาของท่านชื่อ อัรวา บุตรี กุร้อยส์ บุตร รอยอะฮ์ บุตร หะบีบ บุตร อับดุซซัม บุตร อับดิมานาฟ เ ชื้อสายของท่านบรรจบกับเชื้อสายของท่านรอซูล  ที่ปู่คนที่ 3 ชื่ออับดิมานาฟ บุตร กุศ็อย(www.sunnahcyber.com)

เชื้อสายของคอลีฟะฮ์อุษมาน
ท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน บุตรอัฟฟาน บุตรอบีอัลอาส บุตรอุมัยยะฮฺ บุตรอับดุซชัมส์ บุตรอับดุลมานาฟบุตรคุชอยส์ อัล-กุรซีย์ อัลมุอาวี (ร่วมสายเลือดเดียวกับท่านนบีมูฮัมหมัด  ในปู่ที่ชื่ออับดุลมานาฟ
ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานมีชื่อเล่นว่า อบูอับดุลลอฮฺ และอบูอัมร์ แต่ชื่ออบูอัมร์เป็นชื่อที่มีชื่อเสียงมากกว่า (มัชฮูร) กว่า ท่านเกิดในปีที่ 6 หลังจากปีช้าง (กองทัพช้าง)  
 มารดาของท่านคอล๊ฟะฮ์มีชื่อว่า อัรวา บินติ กะรีซ บุตรรอบีอะฮฺ บุตรหุบัยบฺ บุตรอับดุลชัมส์ บุตรอับดุลมานาฟ  (คูลาฟะฮ์อัรรอชิดูน)

ความประเสริฐของท่านอุสมาน บุตร อัฟฟาน

       قال رسول الله صلى الله عليه وسلم من يحفربئررومة فله الجنة فحفرها عثمان        ومن جهز جيـش العسرة فله الجنة فجهزه عثمان رواه البخاري وأحمد والترمذي

ท่านรอซูล  ได้กล่าวว่า "ใครขุดบ่อรูมะฮ์ (บ่อน้ำที่มะดีนะฮ์) สวรรค์จะเป็นของพวกเขา" ท่านคอลีฟะฮ์อุศมานได้ขุดบ่อน้ำนั้น และผู้ใดให้การสนับสนุนกองทหารแห่งความยากลำบาก(สงครามตะอ์บูก) สวรรค์จะเป็นของเขา ท่านคอลฟะฮ์อุษมานก็ได้ให้การสนับสนุนกองทหารดังกล่าว " รายงานโดยบุคอรี อะห์มัด และติรมิซีย์
อับดุรเราะห์มาน บุตร ซะมุเราะฮ์ ได้กล่าวว่า ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้มาหาหาท่านนบี  พร้อมด้วยหนึ่งพันเหรียญทองในแขนเสื้อของเขา ขณะที่ท่านนบี  เตรียมกองทหารแห่งความยากลำบาก ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้วางลงบนตักของท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี  พลิกมันไปมาอยู่ในตักของท่านและกล่าวว่าจะไม่เป็นอันตรายต่ออุษมานสิ่งที่เขากระทำหลังจากนั้น ท่าน นบี   ได้กล่าวถึงสองครั้ง(กองทหารแห่งความยากลำบาก หมายถึง กองทหารที่ยกไปในสงครามตะบูก เพราะเป็นยามที่ขาดแคลน ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้บริจาค หนึ่งพันเหรียญทองม้าห้าสิบตัวและอูฐเก้าร้อยห้าสิบตัว)
ขอความโปรดปราณจากพระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงคุ้มครองท่านคอลีฟะฮ์อุษมานและภรรยาของเขาด้วยเถิด  เขาทั้งสองเป็นบุคคลแรกที่ยอมสละความผาสุกในบ้านของตนไป เพื่อที่จะได้เป็นอิสระในการกระทำการภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า
                ถ้อยคำนี้ท่านนบีมูฮัมมัด  ได้กล่าวขึ้นในขณะที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้เริ่มออกเดินทางลี้ภัยจากมักกะฮฺ  ไปสู่อบิสสิเนีย
                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นที่รักยิ่งของท่านนบีมูฮัมหมัด  ท่านนบี  ได้ยกลูกสาวของท่านที่ชื่อรุกัยยะฮฺ ให้กับท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน  หลังจากที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเข้ารับอิสลาม เมื่อคราวที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานอพยพไปยังอาบาชะฮฺ    เพราะถูกกดดันจากชาวกุเรช ท่านนบีมูฮัมหมัด  ได้กล่าวว่าแท้จริงอุษมานคือผู้ที่อพยพหลังจากลูท  หลังจากนั้นท่านคอลีฟะฮ์อุษมานก็ได้กลับจากอาบาชะฮฺ ไปยังมักกะฮฺ จนกระทั่งเมื่อมีการฮิจเราะฮฺจากมักกะฮไปมาดีนะฮฺ  (การฮิจเราะฮฺครั้งที่ 2)   นางรูกัยยะฮฺก็เสียชีวิตที่มะดีนะฮฺ ในวันที่อัลลอฮ I   ได้ประทาน ชัยชนะ เหนือพวกกุเรชที่สมรภูมิบะดัร ท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน ไม่ได้ร่วมรบในสงครามครั้งนี้เพราะต้องคอยดูแลรูกัยยะฮฺที่กำลังป่วย
                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้เข้าร่วมสงครามกับท่านนบีมูฮัมหมัด  ทุกๆสงคราม  ยกเว้นสงคราม บะดัรและท่านนบีมูฮัมหมัด  ก็ได้จัดงานแต่งงานให้กับท่านคอลีฟะฮ์อุษมานอีกครั้งหนึ่ง กับลูกสาวของท่านนบี   เองที่ชื่ออุมมุกัลโสม  ดังนั้นท่านคอลีฟะฮ์อุษมานจึงได้รับสมญานามว่า ซุนนูร็อยน์ (The man with two lights.)  จ้าวแห่งรัศมี2 ดวง เพราะท่านได้แต่งงานกับบุตรสาวของท่านนบี   ถึง 2 คนคือรุกัยยะฮฺและอุมมุกัลโสม และนางได้เสียชีวิตในปีที่ 9 แห่งการฮิจเราะฮฺ  ดังนั้นท่านนบีมูฮัมหมัด  ได้กล่าวว่า

ความว่าถ้าฉันมีบุตรสาวคนที่ 3 ฉันจะให้แต่งงานกับท่านอุษมาน 
               
สิ่งดังกล่าวนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด  มีความรักในตัวของท่านอุษมาน เป็นอย่างมาก มีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวท่านอุษมาน  
เมื่อมีการบัยอัฮฺที่ฮุดัยบียะฮฺ  (การให้สัตยบัลที่ฮุดัยบียะฮฺ)   ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้เดินทางเข้าไปในมักกะฮฺ เพื่อเจรจา แต่พวกมุชริกมักกะฮฺได้กักตัวท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเอาไว้และมีการปล่อยข่าวว่าท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเสียชีวิตแล้ว  ท่านนบีมูฮัมหมัด  และเหล่าศอฮาบะฮฺได้ร่วมทำสัญญากันใต้ต้นไม้       (บัยอะฮฺตุ้ลริดวาน) เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับท่านอุษมานแม้ว่าตัวเองต้องตายก็ตาม หลังจากนั้นเมื่อทราบข่าวว่าท่านอุษมานยังมีชีวิตอยู่ ท่านนบมูฮัมหมัด  ได้กล่าวว่า
แท้จริงอุษมานอยู่ในความต้องการของอัลลอฮฺและความต้องการของท่านรอซูล
หลังจากนั้นท่านนบี  ก็ได้เอามือของท่านตีไปที่มืออีกข้างหนึ่งและท่านได้พูดกับมือของท่านว่า นี่คือมือของท่านอุษมาน ดังนั้นมือของรอซูล   มีไว้เพื่อสิ่งที่ ดีกว่าจากบรรดามือของพวกท่านทั้งหลาย
                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นผีที่มีความใจบุญศุลทาน ชอบบริจาคทรัพย์สินของท่าน เป็นผู้ที่อยู่ในการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ I  และได้ทำให้ศาสนาของพระองค์สูงส่ง จนกระทั่งท่านได้บริจาคทรัพย์สินในการจัดเตรียมกองทัพ จนไม่เหลืออะไรให้บริจาคอีก ท่านได้บริจาคอูฐ 1000 ตัวและธนูอีก 50 อัน

ความใจบุญของท่านอุสมาน


                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นผู้ที่มีความใจบุญ โอบอ้อมอารี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่หวังการตอบแทนจากผู้ใดนอกจากความพอพระทัยจากอัลลอฮ I ตัวอย่างการใจบุญของท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเช่น
                ในปีที่มาดีนะมาดีนะประสบความขาดแคลน พ่อค้าจึงพยายามฉวยโอกาสที่จะนำสินค้ามาขายโดยได้กำไรอย่างมากมาย
                มีผู้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ สืบต่อกันมากมาย ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า ในสมัยของท่าน  อบูบักร ประชาชนประสบกับปัญหาภาวะการขาดแคลน ท่านอบูบักรได้กล่าวกับพวกเขาว่า
                ถ้าพระประสงค์ของอัลลอฮ I ยังไม่ถึงเวลาเย็นของพรุ่งนี้ นอกจากอัลลอฮ I จะทรงเปิดหนทางให้แก่พวกท่าน
                เมื่อถึงเวลาเช้า ชาวมาดีนะก็ได้ยินเสียงเท้าอูฐเดิน พวกเขาจึงไต่ถามกันว่า นั่นเป็นกองคาราวานสินค้าของผู้ใด มีผู้กล่าวตอบว่าเป็นกองคาราวานสินค้าของท่านคอลีฟะฮ์อุษมานอิบนุ อัฟฟาน พ่อค้าจึงมาหาท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเพื่อขอซื้อสินค้าไปขายต่อ ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานถามว่า ท่านจะได้กำไรแก่ฉันเท่าไร
พวกเขาตอบว่า 10 เท่าเพิ่มเป็น 12 เท่า
ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานกล่าวว่า มีผู้เพิ่มให้ท่านมากกว่านี้แล้ว
พวกพ่อค้ากล่าวว่า 10เท่าเพิ่มเป็น 15 เท่า
ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานกล่าวว่า มีผู้เพิ่มให้มากกว่านี้แล้ว
พวกเขากว่าว่า ผู้ใดที่เพิ่มให้ท่านมากกว่านี้
ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานกล่าวว่า อัลลอฮ I ได้ทรงเพิ่มให้ฉัน หนึ่งดีรฮัม ได้เพิ่มเป็น 10 ดีรฮัม ท่านทั้งหลายจะได้เพิ่มมากกว่านี้หรือไม่?
                บรรดาพ่อค้าต่างกลับอกไป แล้วท่านอุสมานก็ได้ประกาศท่ามกลางประชาชนทั้งหลายว่า
                โอ้อัลลอฮ I  ฉันขอทำทานบริจาคสินค้าทั้งหมดนี้เพื่ออัลลอฮ I แก่ผู้ยากจนในเมืองมาดีนะ โดยไม่คิดค่าสินค้าแต่อย่างใด

ความสันโดษของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน

                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานอิบนุอัฟฟาน เป็นผู้ที่มีความสันโดษในการใช้ชีวิตในโลกดุนยา โดยปารถนา ความสุขในโลกอาคีเราะฮ ท่านได้เลี้ยงอาหารแก่ประชาชนโดยเป็นอาหารอย่างดี แต่ตัวของท่านเองกลับรับประทานขนมปังกับน้ำส้มและมันเนย
                ท่านอับดุลลอฮ อิบนุชัดดาด กล่าวว่า ฉันเห็นท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน อ่านคุตบะฮในวันศุกร์ โดยสวมเสื้อผ้าราคาเพียง 4 หรือ 5 ดีรฮัม ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นคอลีฟะฮ์แล้ว
                มีผู้ถามท่านหะซัน บุตรชายของท่านอาลี ถึงเสื้อผ้าที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานสวมใส่ ท่านกล่าวว่า
            ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานสวมใส่เสื้อผ้าที่ธรรมดาบางทีก็อาจมีราคาถูกกว่าเสื้อผ้าของคนธรรมดาสวมใส่
ผู้ถามว่า ผ้าที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานสวมใส่เป็นชนิดใด
ท่านหะซันกล่าวว่า ผ้าจากกอฏ้อร
ชายผู้นั้นถามว่า ราคาเท่าไร
ท่านหะซันตอบว่า 8 ดีรฮัม
ชายผู้นั้นถามว่า เสื้อของท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นชนิดใด
ท่านหะซันตอบว่า เป็นเสื้อซุมบุลาน
ชายผู้นั้นถามว่า ราคาเท่าไร
ท่านหะซันตอบว่า 8 ดีรฮัม
                นี่เป็นเสื้อที่มีราคถูกที่สุดจากบรรดาเสื้อผ้าที่ขายอยู่ในตลาดเมืองมักกะฮ ในสมัยนั้น

การแต่งตั้งท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นเคาะลีฟะฮ์


ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นคอลีฟะฮ์ที่ทรงธรรมท่านที่สาม โดยผ่านความเห็นชอบจากการประชุมใหญ่ของเศาะฮาบะฮ    หลังจากคอลีฟะฮ์อุมัร  ถูกลอบแทงอย่างสาหัสเมื่อฟื้นจากการสลบชั่วขณะหนึ่งท่านก็มีโอกาสแนะนำเศาะฮาบะฮอีก  6 ท่านที่จะได้รับความโปรดปราณจากอัลลอฮ I จะได้เข้าสรวงสวรรค์  เพื่อบุคคลเหล่านั้นจะได้เปิดการประชุมเลือกสรรผู้จะสืบทอดตำแหน่งคอลีฟะฮ์พวกเขานั้นคือ  อาลี  อะบี ฏอลิบ , อุษมาน  อิบนุ  อัฟฟาน, อับดุลเราะหมาน  อิบนิเอาฟ, ซะอด อิบนุ  อบีวักกอส  อัซซุเบร  อิบนุเอาวาม   ฏอลฮะห์  อิบนุอุบัยดิลลาฮ 
                ในการประชุมครั้งนั้นฏ็อลฮะฮไม่อยู่ในเหตุการณ์  อับดุรเราะห์มาน บุตรเอาฟ์เป็นประธานในการประชุมในมติที่ออกมาต่างยกย่องท่านอุษมาน และท่านอาลีเท่ากัน ( 2 ต่อ2เสียง) ท่าน          อุษมานมีอายุมากกว่าท่านอาลี    อับดุรเราะห์มาน จึงขอใหัท่านอาลีกล่าวคำสาบานว่าจะดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการของคัมภีร์กรุอานอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ท่านอาลีไม่สามารถกระทำได้เมื่อเป็นเช่นนั้น  ประธานการชาวเสียงจากประชาชนส่วนใหญ่เสียก่อน  และเสียงส่วนใหญ่ของผู้คนต่างก็เห็นชอบต่ออุษมานเป็นคอลีฟะฮ์  ท่านได้รับการแต่งตั้งหลังจากการจากไปของท่านคอลีฟะฮ์อุมัร  3 วัน คือเดือนมุฮัรรอม  ฮ.. 24

คุตบะห์ครั้งแรกของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน

                อัตต๊อบรี ได้กล่าวว่า  เมื่อเหล่าบรรดาผู้ที่ทำการชูรอ ได้ให้สัตยาบรรณต่อท่านอุษมาน และท่านก็ได้ไปยังมิมบัร ของท่านนบี  และท่านได้กล่าวคุตบะฮให้แก่ประชาชน ดังนั้น ท่านได้สรรเสริญและสดุดีต่ออัลลอฮ I  และกล่าวซอลาวาตต่อท่านนบี   และท่านได้กล่าวดังมีใจความดังต่อไปนี้
                พวกท่านทั้งหลายอยู่ในโลกดุนยา ที่ไม่รู้ว่า อายัล(ความตาย) ของพวกท่านจะมาเยือนเมื่อใด และพวกท่านไม่สามารถกำหนดได้ พึงทราบเถิด แท้จริงดุนยาเต็มไปด้วยความโป้ปด ดังนั้นจงอย่าให้ชีวิตในโลกดุนยา มาหลอกลวงพวกท่าน จึงใคร่ครวญถึงผู้คนในอดีต ซึ่งพวกเขาได้เพียรพยายามและพวกท่านจงอย่าเผลอเรอ และลูกหลาน และญาติพี่น้องที่อยู่ในโลกดุนยานั้น และพวกท่านคิดว่าจะมีชีวิตอยู่โดยการละเล่นที่ไร้สาระด้วยกับอายุขัยที่ยาวนานกระนั้นหรือ พวกท่านจงทิ้งโลกดุนยา และแสวงหาอาคีเราะห์   ดังที่อัลลอฮ I ได้ทรงอุปมา อุปมัย ถึงสิ่งดังกล่าวด้วยกับความดีว่า อัลลอฮ I ได้ทรงเปรียบเทียบชีวิตในโลกดุนยา เป็นน้ำ ซึ่งพระองค์ได้ประทานลงมาในโลกดุนยาจากฟากฟ้า ดังนั้นพระองค์ก็ได้สร้างความชุ่มชื้นให้กับพืชผลที่อยู่ในแผ่นดิน ทำให้ต้นไม้ที่เคยแห้งเฉากลับมามีชีวิตอีกครั้งและพระองค์ เป็นผู้กำหนดปัจจัยต่างๆ ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน ให้เป็นเครื่องประดับชีวิตในโลกดุนยา แต่ทว่าความดีที่เขาได้ทำไว้ต่างหากเป็นสิ่งที่ดี ณ ที่พระเจ้าของท่าน ซึ่งได้รับผลตอบแทนในความดีที่เขาได้กระทำ 

อุสมานได้ส่งสารต่างๆไปยังผู้นำและหัวเมืองต่างๆ

                เมื่อท่านคอลีฟะฮ์อุษมานถูกแต่งตั้งเป็นคอลีฟะฮ์ ท่านก็ได้เขียนจดหมายไปถึงผู้นำของบรรดาหัวเมืองต่างๆ มีใจความโดยสรุปดังต่อไปนี้
                แท้จริงอัลลอฮI ได้ใช้ให้บรรดาผู้นำต่างๆเป็นผู้ปกครองที่ดูแลทุกข์ สุข ของประชาชน ไม่ใช่เพียงผู้ปกครองที่อยู่ในตำแหน่ง และรงปกครองด้วยความยุติธรรม และจงพิจารณาถึงสิ่งที่เป็นคำสั่งของบรรดามุสลิม และจงแบ่งสันปันส่วนในสิทธิและทรัพย์สิน ทีบรรดามุสลิมควรจะได้รับ หลังจากนั้นจงให้ความสนใจต่อผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม แต่ไม่ใด้ขัดขืนต่อรัฐอิสลาม ด้วยสิทธิที่พวกเขาควรจะได้รับ หลังจากนั้น พวกท่านทั้งหลายจงพิชิต ศัตรูของอิสลามให้สิ้นซาก

 การเป็นคอลีฟะฮ์ที่ดีของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน

                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้ดำเนินนโยบายตามที่ผู้ปกครองก่อนหน้าเขากำหนดไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ในด้านความยุติธรรมและความเสมอภาค ได้มีการนำชารีอะฮฺมาใช้เป็นกฎหมายของแผ่นดิน มีการสั่งสอนกันในเรื่องความดีและห้ามปรามความชั่วและรักษากฎหมาย ดังนั้น การปกครองของท่านคอลีฟะฮ์อุษมานจึงเป็นรูปจำลองของการปกครองในสมัยคอลีฟะฮ์คนก่อนๆ เฎาะบะฮเล่าจากซาลิม บินอับดุลลอฮว่า  หลังจากที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานขึ้นมาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์แล้ว เขาก็ทำฮัจญ์ทุกปียกเว้นในปีสุดท้ายของชีวิต เขาสร้างความสงบขึ้นในอาณาจักรของเขาและป่าวประกาศให้เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้ว่าจะต้องมาอยู่ต่อหน้าเขาในช่วงเวลาของการทำฮัจญ์  ทุกคนจะต้องปฏิบัติตัวอย่างมีคุณธรรมและจะต้องละเว้นจากความชั่ว  จะต้องไม่มีผู้ศรัทธาคนไหนที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและไม่ได้รับความคุ้มครองและถ้าหากมีการทำผิดใด ๆ เกิดขึ้นต่อคนหนึ่งคนใด  เขาจะช่วยเหลือคนผู้นั้นให้พ้นจากการถูกกดขี่ไม่ว่าผู้กดขี่จะมีความเข้มแข็งเพียงใด  ประชาชนได้ปฏิบัติตามคำประกาศของเขา  แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางคนที่ไม่พอใจและตั้งกลุ่มต่อต้านเขา      อิบนุ กะษีรกล่าวไว้ในหนังสือ อัลบิดายะฮ วันนิฮายะฮ ว่าท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเคยเรียกผู้ปกครองเมืองทุกคนมาในตอนทำฮัจญ์และได้ให้โอกาสให้ประชนร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อผู้ปกครองเหล่านั้น  ทั้งนี้เพื่อที่ผู้ปกครองเหล่านั้นจะได้แก้ไขความผิด
การยึดครองดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ทำให้อาณาจักรอิสลามเกิดความมั่งคั่งและทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายเริ่มรู้จักกับความหรูหราสะดวกสบายในเมืองของโลกที่เจริญในเวลานั้นเป็นครั้งแรก โครงสร้างของสังคมที่เกิดขึ้นภายใต้การนำของท่านนบีได้ให้ความสำคัญของชีวิตที่เรียบง่ายและสมถะ และผลประโยชน์แห่งโลกนี้ถูกถือว่าเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อแสวงหาความดีงามและความสุขสถาพร นี่เองที่เป็นสิ่งสกัดกั้นความใฝ่ฝันในทรัพย์สิน อำนาจและตำแหน่ง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่คนอยากได้ใคร่มี จะเริ่มต้นแข่งขันกันเพื่อประโยชน์ทางโลก     สัญญาณต่างๆของการเปลี่ยนแปลงได้ปรากฏชัดขึ้นในสมัยของคอลีฟะฮ์อุษมาน ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรได้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไว้แล้ว แต่ด้วยสายตาอันยาวไกล ท่านคอลีฟะฮ์อุมัรได้ปกครองอาณาจักรของเขาด้วยความเข้มแข็งเฉียบขาดและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่จะนำไปสู่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรม    อย่างไรก็ตามการพิชิตที่ประสบความสำเร็จและการไหลล้าเข้ามาของทรัพย์สินสู่ใจกลางแผ่นดินของอิสลามได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของอิสลามและวิถีชีวิตของผู้คน
                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานยังคงมีความเข้มงวดโดยไม่ยอมให้มีอะไรผิดไปจากแนวทางแห่งความถูกต้องและความยุติธรรม   แต่ตอนนี้เขาต้องปกครองคนที่ไม่ใช่ชาวอาหรับเร่ร่อนที่เรียบง่ายและบึกบึนเท่านั้น  แต่ยังต้องปกครองคนที่คุ้นเคยกับความหรูหราฟุ้งเฟ้อและความชั่วสารพัดของชาติที่มีความเจริญมาก่อนมนุษย์นั้นมักชอบที่จะใช้ความมั่งคั่งเพื่อชีวิตอันหรูหรา  เว้นเสียแต่ว่าความศรัทธาของเขาจะเข้ม แข็งพอที่หักห้ามความต้องการทางโลกได้ทรัพย์สินทำให้คนตาพร่าและความพอประมาณโดยปกติ แล้วเป็นการบาดเจ็บเริ่มต้นในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น         อับบาส มะฮมูด อัลอักกอดได้ประเมินสถานการณ์ไว้อย่างถูกต้องในหนังสือเรื่องอับกอริ ยาต อัลอิสลามิยะฮ ด้วยคำพูดว่า
                “ความยุ่งยากที่สุด ( ซึ่งจะได้เห็นต่อไป  ) ก็คือว่าถึงแม้ท่านอคลีฟะฮ์อุษมานมิได้ทำสิ่งใดที่ไม่เคยมีมาก่อน ในสมัยของคอลีฟะฮ์ก่อนหน้านี้ สถานการณ์และสภาพแวดล้อมก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่านอคลีฟะฮ์อุษมานมีแบบอย่างของอบูบักรและอุมัรเป็นสิ่งคอยนำทางเขาและความเข้มแข็งที่แท้จริงของเขาก็อยู่ที่ประ สบการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ และการอบรมทางด้านการเมืองในสถานการณ์นั้น อย่างไรก็ตามความยุ่งยากลำบากคือว่าเขาต้องการมีประสบการณ์และรูปแบบที่เคยถูกใช้ในสมัยของท่านนบีและผู้สืบทอดอำนาจต่อจากท่านในขณะที่สถานการณ์ในตอนที่เขากำลังจะทำเช่นนั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง  กล่าวโดยสั้น ๆ ผู้คนและบรรยากาศทั้งหมดไม่เหมือนกับสมัยก่อน
                เขายังได้กล่าวต่อไปอีกว่า
                ช่วงเวลาในตอนที่ท่านอคลีฟะฮ์อุษมานได้เข้ามาสู่อิสลามนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับช่วงเวลาที่เขาเข้ามารับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ สังคมชาวอาหรับได้เปลี่ยนแปลงไปและวัฒนธรรมอิสลามก็ได้กลาย เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโลกที่เป็นที่รู้จักของชาติต่าง ๆ ที่ก้าวหน้าของตะวันออกและตะวันตกแล้ว
นี่คือโอกาสที่ทำให้ผู้กล่าวร้ายท่านคอลีฟะฮ์อุษมานประเมินการกระทำของเขาโดยอาศัยมาตรฐานที่นบี  และคอลีฟะฮ์ ก่อนหน้านี้กำหนดไว้ อักกอดได้เขียนว่า
ประชาชนที่อาศัยอยู่ภายในอาณาจักรอิสลามได้ดำเนินชีวิตเหมือนกับผู้คนในประเทศ   อื่น ๆ รูปแบบทางสังคมของพวกเขามีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก แต่พวกเขาต้องการให้ผู้ปกครองของพวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานที่อบูบักและอูมัรได้ตั้งไว้อย่างกวดขัน พวกเขาเองก็ขาดแบบอย่าง ที่พลเมืองในสมัยอบูบักและอุมัรตั้งไว้ พวกเขาด้อยกว่าในการกระทำและศีลธรรมแต่ต้องการให้เคาะลีฟะฮปฏิบัติตามตัวอย่างอย่างเดียวกัน
                มันไม่อาจเป็นไปได้ที่จะคิดว่าอุสมานไม่มีอำนาจเช่นเดียวกับที่อบูบักรและอูมัรมี แม้แต่อุมัรเองก็คาดคะเนถึงความเปลี่ยนแปลงไว้แล้งทั้งๆที่เขาเองก็ปกครองอย่างเด็ดขาดดังนั้นเขาจึงเคยวิงวอนต่อพระเจ้าว่า  โอ้อัลลอฮ I ขณะนี้ฉันแก่แล้วและความเข้มแข็งของฉันก็เสื่อมถอย ผู้คนที่อยู่ใต้การปกครองของฉันก็ละเมิดกันเหลือเกิน ขอพระองค์ทรงรับแน่ไปจากโลกนี้ ในขณะที่แน่ยังไม่ผิดพลาดที่จะรักษาสิทธิของผู้ใดและไม่ได้ล่วงเกินผู้ใด
                ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเองก็เล็งเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆและเกรงว่าการเปลี่ยนปลงนั้นจะเพิ่มมากขึ้น  เขาเตือนผู้คนอยู่เสมอโดยได้แสดงถึงความกังวลของเขาต่อคนที่เขาพูดด้วยและมักจะกล่าวในคำสั่งสอนของเขาว่าชาติกำลังเผชิญกับความทดสอบ  มันได้ถูกกำหนดไว้แล้วอย่างไม่อาจหลีกหนีได้    ความลุ่มหลงต่อโลกได้เข้ามาครอบงำหัวใจและความคิดเสียจนไม่มีความพยายามใดที่จะสามารถขจัดมันออกไปได้
                หลังจากที่เห็นสถานการณ์แล้ว อักกอดก็ได้เขียนต่อไปว่า
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดหรือความยากลำบากก็คือในสมัยของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน รัฐต้องการความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นอย่างมากแต่รัฐไม่มีรัฐบาลมักต้องการความเข้มแข็งแต่รัฐไม่สามารถทำได้ดัง นั้น รัฐบาลที่ขาดทั้งความเชื่อมั่นของประชาชนและความเข้มแข็งจึงไม่สามารถหลีกหนีการวิพากษ์วิจารณ์ การประนามและการแตกแยกได้
แนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศของอุสมานหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งความอดทน และความกล้าหาญที่เขาได้แสดงให้เห็นในการเผชิญหน้าปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนสม ควรที่จะได้รับการยกย่องนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่คอลีฟะฮ์ต้องทำ การดำเนินสายกลางและการกระ ทำอย่างระมัดระวังเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในกรณีของการฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
           ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นคนแรกของการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่มีความ สามารถและคุณธรรมในการรับใช้อิสลาม บางคนถูกรายงานว่าใช้มาตรการที่ไม่เป็นที่ยอมรับหรือก่อให้เกิดความไม่พอใจโดยเฉพาะในหมู่ผู้มีประสบการณ์ในกิจการของรัฐระหว่างสมัยของนบี  หรืออบูบักรและอุมัรประชาชนเริ่มที่จะค่อนแคะและก็ด่าทอคนพวกนี้   ถึงแม้ว่าคอลีฟะฮ์หรือผู้ปก ครองจะต้องคำนึงถึงข้อพิจารณาทางด้านเมืองและการบริหารในการเลือกผู้ปกครองและผู้บริหารก็ตามเขาไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้และมันก็เป็นไปไม่ได้เสมอที่จะให้น้ำหนักทางด้านศาสนา และศีลธรรมในบางเรื่อง
                ในการบรรยายเรื่องการบริหารตามหลักการอิสลาม เคิร์ด อะลี ได้กล่าวจากหลักฐานของเฏาะบารีว่า
                สองในสามของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งโดยนบีนั้นมาจากตระกูลบนูอุมัยยะ  ทั้งนี้เนื่องจากท่านมักจะคำนึงถึงสติปัญญาและความสามารถของเจ้าหน้าที่ของท่าน ท่านไม่เคยเลือกคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารหรือคนที่กำลังต้องการประสบการณ์  นี่หมายความว่าเลือกผู้บัญชาการกองทัพ หน้าที่ของกิจการทางด้านการเมืองและผู้บริหารนั้นเป็นความรับผิดชอบของประมุขของรัฐ  นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่การตัดสินใจมิได้อาศัยพื้นฐานของความมั่งคั่งหรือความน่าเคารพหรือความเป็นเพื่อนหรืออายุ  ความสามารถเป็นเกณ์ตัดสินเพียงอย่างเดียวในเรื่องนี้ซึ่งรวมถึงความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่จะมอบหมายแก่ผู้ใด  และคนที่ถูกเลือกนั้นมีความสามารถเฉพาะในการตัดสสินใจได้อย่างถูกต้อง
                อิบนุ อัลฮะดีดได้ยกเอาผู้พิพากษาอับดุล ญับบารขึ้นมาอ้างเพื่อปกป้องนโยบายของท่าน  คอลีฟะฮ์อุษมาน ในการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขาเขากล่าวว่า
                มันไม่อาจยืนยันได้ว่าในตอนที่คัดเลือกนั้น ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับบุคคลที่เขาได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครอง มันอาจจะเป็นไปได้ที่เขารู้เฉพาะเรื่องของความสามารถของคนเหล่านั้นแต่ไม่รู้ถึงความชั่วของพวกเขา

                เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เคิร์ด อะลีได้แสดงความเห็นว่า
มันมิใช่ความจำเป็นนของยุทธศาสตร์ทางการเมืองกระนั้นหรือที่อุสมานต้องอาศัยความไว้วางใจในการสนับสนุนจากผู้คนในเผ่าของเขา ทั้งนี้เนื่องจากคนเหล่านั้นสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่? มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเหล่านั้นเป็นที่น่าสนใจกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นในการที่จะทำให้การปกครองของอุสมานเป็นผลสำเร็จและบรรลุถึงเป้าหมาย

มีข้อโต้แย้งที่น่าเชื่อถืออีกมากมายที่สามารถนำออกมาปกป้องท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน แต่เราก็ไม่ได้ถือว่าเขาไม่ผิดพลาด เราถือว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่งที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองและทำไปตามนั้นได้ บางครั้งคนเช่นเขาตัดสินใจถูกต้องและบ่อยไปที่เขาผิดพลาดทั้งที่มีความศรัทธาที่ดี เพราะไม่มีใครที่ไม่มีความบกพร่อง นอกจากอัลลอฮ I เท่านั้นและไม่มีมนุษย์คนใดที่ไม่มีบาปนอกจากท่านรอซูล   เราไม่ถือว่ามัรวาน บิน อัลฮากัม,วะลีด บินอุกบะฮและอับดลลอฮ บินซะด์ บินซาเราะฮและคนอื่น ๆ จะต้องรอดพ้นจากการถูกตำหนิ มันไม่จำเป็นเลยที่จะปฏิเสธหรือมองข้ามสิ่งที่บุคคลเหล่านี้ได้ทำไปโดยอาศัยความเป็นญาติกับคอลีฟะฮ์หรืออาศัยความสามารถของตัวเองหรือความไว้วางใจที่มีต่อพวกเขา  แต่มันก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่าบรรดาคนที่จับผิดเหล่านี้ก็ไม่มีความจริงใจและเป็นคนที่เห็นแก่ตัว คนเหล่านี่แต่ละคนมีขวานที่จะฟาดฟันหรือมีแรงจูงใจทางการเมือง  เมื่อพูดถึงการบุกโหมโจมตีใส่ร้ายท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน  มะฮฺมูด อักกอดได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า
การวิพากษ์วิจารณ์ได้ถูกใส่ร้ายป้ายสีอย่างหนักและเกินความจริง เสรีภาพในการแสดงความเห็นที่อิสลามให้นั้นได้ถูกนำมาใช้อย่างผิด ๆ บรรดาคนที่ออกมาตำหนิท่านคอลีฟะฮ์อุษมานนั้นเป็นคนที่ต้องการจะรับใช้ผลประโยชน์ของตัวเอง คนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสั่งสอนคนที่ถูกถือว่ามีความ ผิด  คนหนึ่งเป็นคนที่พ่อถูกตัดสินว่ากระทำคามผิด คนหนึ่งเป็นคนที่ภรรยาถูกแยกจากตัวเองเพราะ แต่งงานไม่ถูกต้อง  และอาจจะมีคนอื่น ๆ ที่ไม่มีข้อกล่าวหาแต่คนเหล่านี้มีเจตนาไม่ดีปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดจะต้องถูกนำมาพิจารณาสำหรับเหตุผลในการหาความผิดของคอลีฟะฮ์
ในที่นี้เราจะขอพูดถึงปัจจัยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการปิดล้อมและลอบสังหารคอลีฟะฮ์ ฮอย่างย่อๆโดยการนำขอสรุปรายละเอียด  ที่อิบนุ กะษีร ได้ให้ไว้ในหนังสืออัลบิดายะฮวันนิฮายะฮฺคนหนึ่งในอียิปต์ซึ่งไม่พอใจท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้เริ่มกล่าวหาเขาเยี่ยงเด็กและพูดพล่อยๆว่าเขาได้ลดฐานะสาวกคนสำคัญๆ ของนบี  ลงและแต่งตั้งคนไร้ความสามารถและไม่เหมาะสมให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ปกครอง คนที่ชาวอียิปต์เหล่านี้เกลียดชังที่สุดถัดไปจาก อัมร์ อิบนุ อัลอาศก็คืออับดุลลอฮฺ บิน ซะด์ บิน อบีซาเราะฮฺ หลังจากพ้นข้อกล่าวหาในอียิปต์แล้วอับดุลลอฮฺ บินซะด์ก็ยุ่งอยู่กับการปราบปรามดินแดน ในแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ  ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของชนเผ่าเบอร์เบอร์ และส่วนอื่นๆของพื้นที่บริเวณ นั้น ในขณะเดียวกันคนหนุ่มในอียิปต์กลุ่มซึ่งบางคนเป็นลูกและทายาทของสาวกท่านนบีบางคนได้รวมตัวกันลุกขึ้นต่อสู้อุสมาน คนกลุ่มนี้ซึ่งส่วนใหญ่นำโดยมูฮัมมัด บิน อบีบักรและมุฮัมมัด บิน อบีฮุซัยฟะฮฺได้สนับสนุนให้มีการต่อต้านอำนาจโดยวิธีการรุนแรง คนเหล่านี้ได้รวบรวมรายชื่อคนจำนวน600 คนที่จะเดินทางไปยังมักกะฮฺในเดือนเราะญับโดยใช้ข้ออ้างว่า ไปทำอุมเราะฮฺและหลัง จากนั้นจะเดินทางไปยังมาดีนะฮฺเพื่อประท้วงท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน      อับดุลลอฮฺ บิน ซะด์ บิน อบีซาเราะฮฺได้ล่วงรู้แผนการของคนเหล่านี้จึงได้ให้ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานทราบ       เมื่อรู้ว่าคนพวกนี้กำลังมายังมาดีนะฮฺ  ท่านคอลีฟะฮ์อุษมาก็ขอให้อาลีไปพบก่อนที่พวกนี้จะเข้าเมืองและขอร้องให้พวกเขากลับไป มีรายงานด้วยว่าท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน      ได้แต่งตั้งคนสำคัญในมาดีนะฮฺให้ทำหน้าที่นี้ แต่อาลีได้ขออาสาไปกับพวกเขาด้วย   อย่างไรก็ตามท่านอาลีก็ได้พบ กับพวกกบฏพร้อมกับคนสำคัญๆ ของมาดีนะฮฺ ที่กูฟะฮ  พวกกบฏเหล่านี้ให้เกียรติต่อท่านอาลีเป็นอย่างสูง แต่เมื่อท่านอาลีตำหนิพวกเขาถึงเรื่องการก่อความไม่สงบ พวกเขาก็ถอยหลังอย่างสิ้นเชิง บางคนได้แสดงความแปลกใจที่ถูกอะลีบอกปัดเพราะพวกเขาคิดว่าตนเองเป็นผู้สนับสนุนท่านอาลีและต่อสู้      ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเพราะสาเหตุนี้ ท่านอาลีได้ถามคนพวกนี้ถึงเรื่องที่จะมาประท้วงและได้โต้แย้งว่าข้อกล่าวหาของพวกเขาไม่มีเหตุผล หลังจากนั้นท่านอาลีก็ขอให้เขาเดินทางกลับบ้าน เมื่อความพยายามไม่เป็นผลสำเร็จ คนเหล่านั้นก็เดินทางกลับในขณะที่ท่านอาลีได้แจ้งให้ท่านคอลีฟะฮ์อุษมาทราบถึงเจตนาของเขาและได้แนะนำท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน      ถึงวิธีการที่เขาจะต้องปฏิบัติ      มีรายงานว่าท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้ให้น้ำหนักกับคำแนะนำของ ท่านอาลี มากทีเดียว อย่างไรก็ตาม พวกก่อความวุ่นวายแห่งอียิปต์ กูฟะฮฺและบัสเราะฮฺก็ยังคงมีแผนการที่จะล้มล้างอำนาจผู้ปกครองอยู่ คนกลุ่มนี้ได้ทำจดหมายปลอมขึ้นมาแล้วส่งจดหมายเหล่านั้นโดยใช้ชื่อของบรรดาสาวกคนสำคัญๆในมาดีนะฮฺเพื่อปุปั่นยุยงผู้คนให้ต่อต้านคอลีฟะฮ์ในเดือนเชาวาล ฮ..35เมษายน ค..656 กบฏกลุ่มหนึ่งได้ออกจากอียิปต์ในคราบของผู้เดินทางไปทำอุมเราะฮและเมื่อมาถึงมาดีนะฮฺ คนพวกนี้ก็ได้ล้อมเมืองไว้ บรรดาสาวกของท่านนบี  ได้เตือนพวกกบฏเหล่า นี้และได้ขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้พวกเขากลับไปบ้านเสีย เมื่อท่านอาลีถามถึงเรื่องสาเหตุที่ทำให้พวกเขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ชี้ไปยังจดหมายที่พวกเขากล่าวว่าจับได้จากผู้นำสารคนหนึ่งของคอลีฟะฮ์ที่มุ่งหน้าไปยังอียิปต์ มีการกล่าวว่าจดหมายฉบับนั้นมีตราประทับของคอลีฟะฮ์และในจดหมายนั้นเป็นคำสั่งถึงผู้ปกครองอียิปต์ให้จัดการพวกกบฏเหล่านั้นเมื่อกลับไปถึงด้วยดาบหรือโดยการแขวนคอหรือตัดแขนตัดขาด้วยความสงสัยว่าจะเป็นจดหมายปลอม ท่านอาลีจึงถามว่าพวกที่กลับไปยังกูฟะฮฺและบัสเราะฮฺรู้ถึงการกลับมาของชาวอียิปต์อย่างรวดเร็วและนำคนเหล่านั้นกลับมายังมาดีนะฮฺอีกได้อย่างไรทั้งๆที่เส้นทางกลับก็เป็นคนละเส้นทางกันคำถามที่ตรงไปตรงมานี้ไม่ได้รับคำตอบ แต่พวกกบฏได้ยืนยันว่าคนนำสารที่พวกตนจับได้นั้นเป็นคนใช้ของท่านคอลีฟะฮ์อุษมานที่ขี่อูฐของคอลีฟะฮ์  เมื่อท่านคอลีฟะฮ์อุษมานถูกถามถึงเรื่องจดหมาย เขาก็กล่าวว่านี่เป็นหลักฐานที่ใช้กล่าวหาฉัน แต่ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ I  ฉันไม่ได้เขียนและก็ไม่ได้บอกให้ใครเขียนและฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรทั้ง สิ้น ตราประทับก็อาจปลอมแปลงได้ บางคนพอใจกับคำอธิบายของอุสมานในขณะที่บางคนก็ยังยืน ยันในข้อกล่าวหาของพวกตน
                อิบนุ กะษีรได้เขียนว่า ได้มีการกล่าวหาอย่างผิดๆ ว่าจดหมายนั้นเป็นของท่านคอลีฟะฮ์     อุษมาน เขาไม่รู้เรื่องใดๆเกี่ยวกับจดหมายฉบับนั้นและเขาก็มิได้เป็นคนสั่งให้ส่งมันไป                 อิบนุญะรีรได้กล่าวโดยอ้างแหล่งข้อมูลของเขาว่าชาวอียิปต์ได้จับจดหมายฉบับนั้นได้จากคนนำสารที่ถูกส่งไปยังผู้ปกครอง อียิปต์ ในจดหมายนั้น มีคำสั่งให้ตัดหัวบางคน แขวนคอบางคนและตัดมือตัดเท้าบางคนจดหมาย ฉบับนั้นเขียนในนามของท่านอุษมานโดยมัรวาน บิน อัลฮะกาม โดยยกข้อความกรุอานมาสนับสนุนการลงโทษเช่นนั้นดังนี้     
แท้จริงการลงโทษของบรรดาผู้ทำสงครามต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์และพยายามก่อความเสียหายในแผ่นดินก็คือพวกเขาจะต้องถูกประหารหรือถูกตรึงให้ตายบนไม้กางเขนหรือตัด มือและเท้าของพวกเขาสลับข้างกันหรือถูกเนรเทศให้ออกไปจากแผ่นดิน นี่คือความอัปยศของพวกเขาในโลกนี้  และยังมีการลงโทษที่หนักหน่วงยิ่งกว่านี้สำหรับพวกเขาในโลกหน้า           

                อิบนุญะรีรยังกล่าวต่อไปว่าพวกกบฏสมควรที่จะถูกลงโทษตามที่อัลกรุอานกล่าวเช่นนั้น แต่มัรวานไม่มีสิทธิ์ที่จะส่งจดหมายที่เขียนและประทับตราในนามของอุสมานไปให้คนรับใช้ของ ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานและใช้อูฐของเขาเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขาเสียก่อน นักประวัติ ศาสตร์อีกคน ซึ่งตรวจสอบรายละเอียดจากเรื่องนี้มีความเห็นว่าการทำจดหมายปลอมว่าเป็นของท่านคอลีฟะฮ์อุษมานนั้นได้ถูกวางแผนมาเป็นอย่างดีทั้งนี้    เพื่อที่จะโค่นล้มอำนาจของเขา  อัลฮัยซะมีได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง   “มุวาริด อัซซะมาน อิลา ซะวาอิด อิบนุ ฮิบบาน ว่า
                            หลังจากนั้นพวกอียิปต์ก็เดินทาง  กลับ ในระหว่างเดินทางกลับไปยังบ้านก็มีชายคนหนึ่งขี่อูฐผ่านพวกเขาไป แต่หลังจากนั้นก็กลับมา อีกครั้งแล้วก็ออกไปอีกคนที่จำคนพวกนั้นได้จึงถามว่ามาทำธุระอะไรโดยให้ความมั่นใจว่าพวกเขา จะให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตของเขาและได้สอบถามถึงธุระของเขาคนผู้นั้นจึงได้บอกคนเหล่านั้นว่า ผู้บังคับบัญชาแห่งศรัทธาชนได้ส่งเขาไปยังผู้ปกครองอียิปต์ ดังนั้น เขาจึงถูกค้นตัวและมีการค้นพบจดหมายของอุสมานที่สั่งผู้ปกครองอียิปต์ให้แขวนคอหรือตัดแขนและขาของคนเหล่านั้นและมีตราประทับปิดผนึกของเขาด้วย  คนกลุ่มนี้จึงกลับไปยังเมืองมาดีนะฮฺอีกครั้งหนึ่งและกล่าวกับอะลีว่า ท่านเห็นไหมว่าศัตรูของอัลลอฮฺ I ได้เขียนเกี่ยวกับเราไว้อย่างไร? ตอนนี้  ท่านควรจะมาร่วมกับเรา  ท่านอาลีได้ตอบว่าขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ I  ฉันจะไม่ร่วมกับท่าน คำตอบของท่านอาลีได้ทำให้พวก เขาต่างมองหน้าซึ่งกันและกันด้วยความแปลกใจและบางคนได้กล่าวต่อกันและกันว่า พวกท่านจะต่อสู้เพื่อคนที่ไม่แยแสต่อพวกท่านกระนั้นหรือ
                   มีรายงานกล่าวว่าท่านอาลีได้บอกคนพวกนั้นว่า ชาวบัสเราะฮฺที่รักพวกท่านรู้เรื่องที่เกิดขึ้น กับชาวอียิปต์ได้อย่างไร? พวกท่านแวะพักระหว่างทางกลับบ้านหลายจุดแล้วและก็กลับมาหาเราอีกขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ I  นี่เป็นแผนการที่วางกันไว้ในมาดีนะฮฺ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น