เป็นหนังสือที่ใช้สอนใน ของคณะอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานีโดย อาจารย์ อับดุลเลาะ การีนา มีทั้งหมด 7บท ต่อมาด้วยหะดีษต่างๆอีก 4 บทนะ
ระดับที่สี่ หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษระดับนี้มีสาเหตุมาจากความบกพร่องในแง่คุณธรรมของนักรายงานซึ่งมีลักษณะเป็นคนฟาสิก ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกหก มัตรูก มุนกัร เฎาะอีฟญิดดัน
หัวข้อย่อย | วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ |
1. หะดีษเฎาะอีฟ ญิดดัน 2. หะดีษมัตรูก 3. หะดีษมุนกัร | 1. เข้าใจหะดีษเฎาะอีฟญิดดันและส่วนที่เกี่ยวข้อง 2. เข้าใจหะดีษมัตรูกและส่วนที่เกี่ยวข้อง 3. เข้าใจหะดีษมุนกัรและส่วนที่เกี่ยวข้อง |
1. นิยาม
หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน คือ หะดีษที่รายงานโดยผู้รายงานที่มีลักษณะต่าง ๆ เช่น มัตรูก มุนกัร ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกหก ฟาสิก และเฎาะอีฟญิดดัน
2. ตัวอย่างหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีมากมาย แต่ที่จะยกตัวอย่างเพียงบางหะดีษเท่านั้น เช่น
عن عبد الله بن عمر رضي الله عنهما عن النبي صلى الله عليه وسلم قال : (( ما يمنع أحدكم إذا عسر عليه أمر معيشته أن يقول إذا خرج من بيته : بسم الله على نفسي ومالي وديني، اللهم رضني بقضائك، وبارك لي فيما قدر لي حتى لا أحب تعجيل ما أخرتُ ولا تأخير ما عجلتُ ))
ความว่า จากอับดุลเลาะ เบ็ญอุมัร t เล่าจากท่านนบี r ซึ่งท่านกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดกีดกั้นคนใดในหมู่พวกเจ้า เมื่อรู้สึกยุ่งยากต่อการงานให้เขาอ่านดุอาอฺในขณะที่จะก้าวเท้าออกจากบ้าน “بسم الله على نفسي ومالي وديني، اللهم رضني بقضائك، وبارك لي فيما قدر لي حتى لا أحب تعجيل ما أخرت ولا تأخير ما عجلت ” (อิบนุอัซซุนนีย์ : 352)
อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ กล่าวว่า หะดีษนี้เป็นหะดีษเฆาะรีบ บันทึกโดย อิบนุ อัสสุนนีย์ ซึ่งในสะนัดของหะดีษมีผู้รายงานท่านหนึ่งชื่อว่า อีซา เบ็ญ มัยมูน มีสถานะเป็นคนเฎาะอีฟญิดดัน (อ่อนมาก)
3. ฐานะของหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีฐานะสูงกว่าหะดีษเมาฎูอฺและต่ำกว่าหะดีษเฎาะอีฟ (หะดีษเฎาะอีฟธรรมดา) เนื่องจากผู้รายงานในสะนัดมีสถานภาพที่ต่ำกว่า
4. สถานะของหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเฎาะอีฟญิดดันไม่สามารถให้การสนับสนุนหะดีษเฎาะอีฟที่มาจากสาเหตุความบกพร่องในกระบวนการรายงานและความบกพร่องในแง่ความจำของผู้รายงาน และยังไม่สามารถรับการสนับสนุนจากสายรายงานอื่นอีกด้วย แม้ว่ามีกระแสรายงานมากมายก็ตาม เนื่องจากความบกพร่องของผู้รายงานหะดีษนี้เกี่ยวข้องกับคุณธรรม
5. การรายงานหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
ตามทัศนะของอุละมาอฺหะดีษไม่อนุญาตให้รายงานหะดีษเฎาะอีฟญิดดันที่เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา เว้นแต่จะระบุระดับของหะดีษอย่างชัดเจนหลังจากกล่าวหะดีษ
6. การนำมาใช้เป็นหลักฐาน
ตามทัศนะของบรรดาอุละมาอฺไม่อนุญาต (หะรอม) นำหะดีษเฎาะอีฟญิดดันมาใช้เป็นหลักฐานและนำมาปฏิบัติตามในเรื่องต่าง ๆ ของศาสนาอิสลาม เช่น เรื่องอะกีดะฮฺ เรื่องอิบาดะฮฺ เรื่องอะฮฺกาม เรื่องอีมาน เรื่องคุณค่าของอะม้าล เรื่องการสนับสนุนให้ทำความดีและห้ามปรามการทำความชั่ว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการขัดแย้งกันระหว่างหะดีษเฎาะอีฟญิดดันกับหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน จะต้องปฏิบัติตามหะดีษเศาะหีหฺและหะดีษหะสัน เช่น หะดีษของอิบนุอุมัร และหะดีษอื่น ๆ ที่มีฐานะเดียวกัน ตัวอย่าง
عن ابن عمر رضي الله عنهما قال : قال رسـول الله صـلى الله عليه وسـلم : (( اذكروا محاسن موتاكم وكفوا عن مساويهم ))
ความว่า จากอิบนุอุมัร رضي الله عنهما เล่าว่า เราะสูลุลลอฮฺ r กล่าวว่า “พวกเจ้าจงกล่าวสิ่งที่ดี ๆ ต่อคนตายในหมู่พวกเจ้า และจงปกปิดสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาได้กระทำไว้” (อัตติรมิซีย์ : 3/330)
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน เนื่องจากมีผู้รายงานคนหนึ่งชื่อ อิมรอน เบ็ญ อัลหุศ็อยนฺ อัลมักกีย์ อิมามอัลบุคอรีย์กล่าวว่า “มีสถานภาพเป็นคนมุนกัรหะดีษ” และ หะดีษบทนี้ขัดแย้งกับหะดีษจากอาอิชะฮฺعنها رضي الله และจากอานัส เบ็ญ มาลิก t
1) หะดีษจากอาอิชะฮฺ رضي الله عنها กล่าวว่า เราะสูลุลลอฮฺ r กล่าวว่า
(( لا تسبوا الأموات فإنهم قد أفضوا إلى ما قدموا ))
ความว่า “พวกเจ้าอย่าสาปแช่งคนที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะพวกเขาได้จากในสิ่งที่พวกเขาได้ก่อไว้” (อัลบุคอรีย์ : 3/258, อันนะสาอีย์ : 4/53 และอัลบัยฮะกีย์ : 4/126)
2) หะดีษจากอะนัส เบ็ญมาลิก t กล่าวว่า
مروا بجنـازة فأثنوا عليها خيراً، فقال النبي صـلى الله عليه وسلم : (( وجبتْ. ثم مروا بأخرى فأثنوا عليها شراً، فقال النبي صلى الله عليه وسلم : وجبتْ فقال عمر بن الخطاب رضي الله عنه : ما وجبت؟ قال : هذا أثنيتم عليه خيراً فوجبتْ له الجنة، وهذا أثنيتم عليه شراً فوجبتْ له النار، أنتم شهداء الله في الأرض )).
ความว่า พวกเขา (บรรดาเศาะหาบะฮฺ) ได้เดินผ่านมายัต มีบางท่านได้กล่าวสรรเสริญต่อมายัต ดังนั้น เราะสูลุลลอฮฺ r กล่าวว่า “แน่แท้เป็นเช่นนั้นจริง” และพวกเขาเดินผ่านมายัตอื่นอีก มี (เศาะหาบะฮฺ)บางท่าน กล่าวตำหนิต่อมายัตที่อยู่ในสุสานนั้น ท่านนบี r กล่าวว่า “แน่แท้เป็นเช่นนั้นจริง” อุมัร เบ็ญ อัลค๊อฏฏ๊อบถามว่า ที่เป็นเช่นนั้นจริงคืออะไร? ท่านนบีตอบว่า “คนที่พวกเจ้ากล่าวสรรเสริญ เขามีสิทธิ์ที่จะเข้าสวรรค์ และคนที่พวกเจ้ากล่าวตำหนิพวกเขานั้นก็มีสิทธ์ตกนรก พวกเจ้าก็เป็นพยานของอัลลอฮฺใน พื้นแผ่นดินนี้” (อัลบุคอรีย์ : 3/228, มุสลิม : 2/655 และอัลบัยฮะกีย์ : 4/126)
7. ชนิดของหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน
หะดีษเฎาะอีฟญิดดันแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
ชนิดที่ 1 หะดีษมุนกัร
ชนิดที่ 2 หะดีษมัตรูก
ชนิดที่ 1 หะดีษมุนกัร
หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพร่องของผู้รายงานในแง่คุณธรรมที่มีลักษณะคือเฎาะอีฟญิดดัน มุนกัรหะดีษ ฟิสกฺ ฟุหฺชู เฆาะลัฏ กัษเราะฮฺฆ๊อฟละฮฺ และกัษเราะฮฺเอาฮามเรียกว่า หะดีษมุนกัร
1. นิยาม
หะดีษมุนกัร คือ หะดีษที่รายงานโดยผู้รายงานที่เฎาะอีฟขัดแย้งกับการรายงานของผู้รายงานที่ษิเกาะฮฺ (อัลเฏาะหานะวีย์ : 42) หรือหะดีษที่รายงานโดยผู้รายงานเป็นคนฟาสิก และอื่น ๆ
2. ตัวอย่างหะดีษมุนกัร
1) หะดีษจากอะบูสะอีด อัลคุดรีย์ t กล่าวว่า เราะสูลุลลอฮฺ r กล่าวว่า
(( إذا دخلتم على مريض فنفسـوا له في أجله، فإن ذلك لا يردّ شيئاً ويطيب نفسه )).
ความว่า “เมื่อพวกเจ้าเข้าเยี่ยมผู้ป่วย ก็จงทำให้เขามีความสบายใจ ในอะญัลของเขา เนื่องจากสิ่งนั้นไม่สามารถปฏิเสธได้แม้แต่นิดเดียว และจงปะน้ำหอมบนตัวของเขา” (อัตตัรมิซีย์ : 4/412)
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษมุนกัร เนื่องจากมีผู้รายงานท่านหนึ่งชื่อว่า มูซา เบ็ญ มุฮัมมัด เบ็ญ อิบรอฮีม อัตตัยมีย์ มีสถานภาพเป็นคนมุนกัรหะดีษ
2) จากอิบนุอุมัร t กล่าวว่า เราะสูลุลลอฮฺ r กล่าวว่า
((اذكروا محاسن موتاكم وكفوا عن مساويهم ))
ความว่า “พวกเจ้าจงพูดถึงสิ่งดี ๆ ในตัวผู้ตาย และจงปกปิดสิ่งชั่วร้ายที่เขาได้ก่อไว้” (อัตติรมิซีย์ : 3/330)
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษมุนกัร (เฎาะอีฟญิดดัน) เนื่องจากในสะนัดมีผู้รายงานท่านหนึ่งชื่อ อิมรอน เบ็ญ หุศัยนฺ อัลมักกีย์ ซึ่งอัลบุคอรีย์ กล่าวว่า: มุนกัรหะดีษ
3. ฐานะของหะดีษมุนกัร
หะดีษมุนกัรเป็นส่วนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟยิดดัน และหะดีษชนิดนี้มีฐานะต่ำกว่า หะดีษมัตรูก
4. การนำมาใช้เป็นหลักฐาน
อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นว่า ไม่อนุญาตให้รายงานหะดีษมุนกัรให้สังคมฟังนอกจากจะระบุสถานภาพของหะดีษอย่างชัดเจน และไม่อนุญาตให้นำมาใช้เป็นหลักฐานในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
มีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับระดับของหะดีษมุนกัรว่า เป็นหะดีษเฎาะอีฟที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในส่วนที่เป็นหุก่มสุนัต เช่น การละหมาดสุนัต การถือศีลอดสุนัต การทำความดี และการห้ามปรามทำความชั่ว เป็นต้น จากนิยามข้างต้นพอสรุปได้ว่า หากพิจารณาลักษณะเดิมของสายรายงานที่เป็นเฎาะอีฟ หรือการรายงานของคนเฎาะอีฟที่ไม่ขัดแย้งกับการรายงานของคนษิเกาะฮฺ หะดีษในลักษณะนี้จะถือเป็นหะดีษเฎาะอีฟ แต่การพิจารณาของการเป็นหะดีษมุนกัรนั้นก็ต้องพิจารณาระหว่างการรายงานของคน เฎาะอีฟที่ขัดแย้งกับการรายงานของคนษิเกาะฮฺ ดังนั้น การตัดสินหะดีษเป็นหะดีษมุนกัรจะต้องพิจารณาจำนวนสายรายงานที่มีมากกว่าหนึ่งสายหรือสายรายงานที่มาจากการรายงานของคนฟาสิก เป็นต้น
ชนิดที่ 2 หะดีษมัตรูก
หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพร่องของผู้รายงานในแง่คุณธรรมคือ ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกหก มัตรูกหะดีษ และซาฮิบหะดีษ หะดีษในลักษณะนี้เรียกว่า หะดีษมัตรูก
1. นิยาม
หะดีษมัตรูก คือ หะดีษที่รายงานโดยผู้รายงานที่มีสถานภาพเป็นคนถูกกล่าวว่าเป็นคนโกหก หรือซาฮิบหะดีษ หรือมัตรูกหะดีษ (อัศศ๊อนอานีย์ : 252)
จากนิยามข้างต้นพอสรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับหะดีษมัตรูก 2 ประการ
หนึ่ง ลักษณะของผู้รายงานหะดีษมัตรูก
1. ผู้ที่ทราบกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นคนที่ชอบพูดโกหก แต่ไม่เคยปรากฏการโกหกต่อหะดีษนะบะวีย์แม้แต่นิดเดียว
2. ผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นคนโกหกต่อหะดีษนะบะวีย์
สอง การเรียกชื่อหะดีษเป็นหะดีษมัตรูก
การเรียกหะดีษมัตรูกนั้นต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการคือ
1. มีการรายงานหะดีษจากผู้รายงานเพียงคนเดียวเท่านั้น
2. หะดีษที่ถูกรายงานนั้นมีเนื้อหาที่ขัดแย้งกับหลักการทั่วไปของบทบัญญัติ(อิบนุ อัลเศาะลาหฺ : 43)
อุละมาอฺบางท่านเรียกหะดีษมัตรูก ว่า “หะดีษมัตรูหฺ” (อัศศ๊อนอานีย์ : 253)
2. ตัวอย่างหะดีษมัตรูก
1. หะดีษจากอัมรฺ เบ็ญ ชัมมัร อัลญุอฺฟีย์ อัลกูฟีย์ อัลชีอีย์ จากญาบิร จาก อะบูอัลฏูฟัยลฺ จากอะลีและอัมรฺ ทั้งสองท่านนี้กล่าวว่า
حديث عمرو بن شمر الجعفي الكوفي الشيعي، عن جابر، عن أبي الطفيل، عن علي وعمرو قالا : كان النبي صلى الله عليه وسلم يقنت في الفجر ويكبر يوم عرفة من صلاة الغداة، ويقطع صلاة العصر أخر أيام التشريق.
ความว่า “ท่านนบี r อ่านกุนูตในละหมาดซุบฮฺ และท่านกล่าวตักบีรในวันอะรอฟาตตั้งแต่ละหมาดซุฮรฺและสิ้นสุดเวลาละหมาดอัศรฺ วันสุดท้ายของวันตัชรีก” (อัซซะฮะบีย์ : 2/268)
อิมามอันนะสาอีย์และอิมามอัดดารอกุฏนีย์กล่าวว่า จากอัมรฺ เบ็ญ ชัมมัร ท่านเป็นผู้รายงานมัตรูก (อัซซะฮะบีย์ : 2/268)
2. จากอับดุลเลาะ เบ็ญ มัสอูด t เล่าจากท่านนบีมุฮัมมัด r กล่าวว่า
عن عبدالله بن مسعود رضي الله عنه عن النبي صلى الله عليه وسلم قال : ((من عزى مصابا فله مثل أجره)).
ความว่า “ผู้ใดที่ยกย่องในความถูกต้องแล้ว เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผลบุญของเขา” (อัตติรมิซีย์ : 3/376 และอัลบัยฮะกีย์ : 4/49 และอัตติรมิซีย์ : 3/376)
หะดีษบทนี้เป็นหะดีษมัตรูก เนื่องจากในสายรายงานของหะดีษมีผู้รายงานท่านหนึ่งมีสถานภาพเป็นคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโกหกคือ อะลี เบ็ญ อาเศ็ม (มุฮัมมัด เบ็ญ อัลลาน : 4/137)
4. ฐานะของหะดีษมัตรูก
หะดีษมัตรูกเป็นส่วนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีฐานะต่ำกว่าหะดีษมุนกัรและสูงกว่าหะดีษเมาฎูอฺ
5. การนำมาใช้เป็นหลักฐาน
การนำหะดีษมัตรูกมาใช้เป็นหลักฐานเหมือนกับการนำหะดีษมุนกัรเป็นหลักฐาน
โจทย์ฝึกหัดเพิ่มเติม
1. หะดีษเฎาะอีฟญิดดันหมายถึงหะดีษอะไร ?
2. การรายงานหะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีวิธีการอย่างไร ?
3. หะดีษเฎาะอีฟญิดดันจะนำมาใช้เป็นหลักฐานได้หรือไม เพราะเหตุใด ?
4. หะดีษมัตรูกหมายถึงหะดีษอะไร ?
5. หะดีษมัตรูกสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานได้หรือไม เพราะเหตุใด ?
6. หะดีษมุนกัรหมายถึงหะดีษอะไร ?
7. หะดีษมุนกัรจะนำไปใช้เป็นหลักฐานได้หรือไม เพราะเหตุใด ?
8. มารยาทที่มีต่อหะดีษมัตรูกและหะดีษมุนกัรมีอะไรบ้าง ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น