เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทำไมชีอะฮฺจึงได้ชื่อว่า “รอฟิเฎาะฮฺ” ?

เชค อัล มัจลิซีย์ ชาวชีอะฮฺ  ได้ยกหลักฐานที่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับที่มาของการตั้งชื่อดังกล่าวในหนังสือ บิหาร อัลอันวารของท่านในบทที่ว่าด้วย “ฟัฏลุ อัรรอฟิเฏาะฮฺ วา มัดหุ อัตตัสมียะห์ บิฮา” ถึงหลายรายงานด้วยกัน  และเขาได้เล่าเรื่องที่สุไลมาน อัล อะมัช เข้าไปพบ อาบู อับดุลเลาะฮฺ ญะอฺฟัร อิบนุ มุหัมมัด (เป็นรู้จักในนามว่า อัศศอดิก) ซึ่งสุไลมาน อัล อะมัช พูดกับ อาบู อับดุลเลาะฮฺ ญะอฺฟัร อิบนุ มุหัมมัด ว่า “ฉันได้เป็นผู้ร่วมกับท่าน!! คนได้เรียกเราว่าเป็น รอฟิเฏาะฮฺ” แล้วอะไรคือ รอฟิเฏาะฮฺ? อาบู อับดุลเลาะฮฺ ญะอฺฟัร อิบนุ มุหัมมัด ก็ได้ตอบว่า “พวกนั้นไม่ได้เป็นผู้ตั้งหรือเป็นผู้กลุ่มแรกที่เรียกพวกเราเช่นนั้น แต่พระองค์อัลลอฮฺทรงได้ตั้งชื่อดังกล่าวแก่พวกเจ้าในคัมภีร์ เตารอต อินญีล ด้วยภาษาของนบีมูซาและนบีอีซา[1]
ความจริงที่ถูกต้อง เหตุที่ชีอะฮฺได้ชื่อว่า รอฟิเฎาะฮฺ(หมายถึงผู้ที่บอกปัดและปฏิเสธ)นั้น เป็นเพราะเมื่อคราวที่พวกชีอะฮฺได้เข้าไปหาท่าน ซัยด์ บิน อาลี บิน หุเสน บิน อาลี บิน อบี ตอลิบ  และเสนอแก่ท่านว่า จงรังเกียจ อบู บักร และอุมัร เสีย และจงได้อย่ารักเขาทั้งสอง แล้วพวกเราจะอยู่เคียงข้างท่าน”  ท่านซัยด์ ตอบกลับไปว่า  : ท่านทั้งสองเป็นสหายของ(ท่านรสูล ศ็อลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม)ปู่ฉัน และฉันยังนับถือการเป็นอิมามของท่านทั้งสองด้วย ดังนั้น ชาวชีอะฮฺจึงประกาศว่า  : ถ้าเช่นนั้นพวกเราขอปฏิเสธ (แยกตัวออกจาก) ท่าน”  นับตั้งแต่นั้นมา ชาวชีอะฮฺ จึงได้ชื่อว่า รอฟิเฎาะฮฺส่วนผู้ที่ยอมรับท่านซัยด์ และแสดงความภักดีต่อท่าน ได้ชื่อว่า ซัยดิยะฮฺ[2]
บ้างก็กล่าวว่า เหตุที่ชีอะฮฺ ได้ชื่อว่า รอฟิเฎาะฮฺนั้น เป็นเพราะพวกเขาปฎิเสธและไม่ยอมรับการเป็นอิมามหรือเคาะลีฟะฮฺ ของท่านอบูบักร และ อุมัร รอฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา[3]   บ้างก็กล่าวว่า เหตุที่ชีอะฮฺถูกเรียกเช่นนั้น เป็นเพราะพวกเขาปฎิเสธ และบอกปัดหลักคำสอนของอิสลาม[4].


*****


[1] ดูหนังสือดังกล่าว หน้า 65, 97 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออ้างอิงเล่มสำคัญของชีอะหฺในระยะหลัง
[2] เชค อับดุลลอฮฺ บิน อัลญับรีน ใน อัลตะลีกอต อะลามัตนิ อัล อิอฺติกอต   หน้า 108
[3] เชิงอรรถ มะกอลาต อัลอิสลามิยะฮฺ  โดย มุหฺยุดดีน อับดุลหะมีด (1/89)
[4] แหล่งอ้างอิงเดียวกัน



ในหนังสือ ดาอิเราะตุล มะอาริฟ   กล่าวว่า กลุ่มของชีอะฮฺได้แตกย่อยออกมากกว่ากลุ่มทั้งเจ็ดสิบสามพวก ที่เป็นที่รู้จักกัน[1]
ยิ่งกว่านั้น มีรายงานจาก  มิยัร บากีร อัล ดามาด ชาวชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺ [2] ว่า แท้จริงกลุ่มทั้งเจ็ดสิบสามพวกที่ถูกกล่าวถึงในหะดีษท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม นั้น คือกลุ่มของพวกชีอะฮฺ และกลุ่มเดียวที่รอดพ้นจากการตกนรก คือ กลุ่มชีอะฮฺ อิมามิยะฮฺ.
อัลมักรีซีย์  กล่าวว่า :กลุ่มของชีอะฮฺมีมากถึงสามร้อยพวก[3].

ในขณะที่ อัลชิฮฺริสตานีย์ กล่าวว่า : รอฟิเฎาะฮฺ แตกออกเป็นห้าสาย คือ สายกัยสานิยะฮฺ  ซัยดิยะฮฺ  อิมามิยะฮฺ  ฆอลิยะฮฺ (ผู้ที่เลยเถิด) และอิสมาอีลิยะฮฺ[4].
ส่วน อัลบัฆดาดีย์ กล่าวว่า : แท้จริง พวกรอฟิเฎาะฮฺ หลังการเสียชีวิตของท่านอาลี รอฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้แตกออกเป็นสี่พวก คือ ซัยดิยะฮฺ อิมามียะฮฺ กัยสานียะฮฺ  และพวกฆอลิยะฮฺที่เลยเถิด[5].
เป็นที่น่าสังเกตว่า ซัยดิยะฮฺ นั้น ไม่ถูกจัดอยู่ในจำพวกรอฟิเฎาะฮฺ ยกเว้นพวก ญารูดิยะฮฺ เท่านั้น. วัลลอฮุ อะฮฺลัม


*****

อัลบะดาอฺ หมายถึง การประจักษ์หลังจากการปกปิด หรือหมายถึง เกิดความเห็นใหม่ (ที่ค้านกับที่เป็นอยู่) ซึ่งทั้งสองความหมายจะเกิดขึ้นหลังจากความเขลาหรือไม่มีความรู้ ทั้งสองความหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับอัลลอฮฺ  แต่พวกรอฟิเฎาะฮฺกลับนำความเชื่อเรื่องบะดาอฺนี้มาเป็นคุณลักษณะหนึ่งของอัลลอฮฺ.

อัร รอยยาน บิน อัล ศ็อลตฺ รายงานว่า : ฉันได้ฟัง อัร ริฎอ กล่าวว่า อัลลอฮฺจะไม่ส่งนบี เว้นแต่ เพื่อห้ามปรามการดื่มเหล้า และยอมรับความเป็นบะดาอฺของอัลลอฮฺ[6] 

อบี อับดิลลาฮฺ กล่าวว่า ไม่มีการเคารพต่ออัลลอฮฺด้วยสิ่งใด จะประเสริฐเท่า อัล บะดาอฺ[7]

จงดูเถิดว่า พวกเขาถึงกับกล้าพาดพิงความเขลาต่ออัลลอฮฺ ในขณะที่อัลลอฮฺทรงตรัสเกี่ยวกับตัวท่านเองว่า :

( قُل لا يَعلمُ من في السَمَواتِ والأرضَ الغيبَ إلا اللهُ )
ความว่า : จงกล่าวเถิด ไม่มีผู้ใดเลยทั้งในชั้นฟ้าและบนหน้าแผ่นดิน ที่ล่วงรู้ในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย นอกจากอัลลอฮฺ”.       ( สูเราะฮฺ อัล นัมลุ 27 : 65 )

ในทางกลับกัน พวกรอฟิเฎาะฮฺกลับมีความเชื่อว่า บรรดา อิมามของพวกเขาสามารถล่วงรู้ถึงสิ่งเร้นลับต่างๆ ไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดจากความหยั่งรู้ของพวกเขาได้
นี่หรือคือคำสอนและความเชื่อของอิสลามที่ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ได้นำมาเผยแผ่ !!!?

*****
[1] ดูหนังสือดังกล่าว (4/67)
[2] ท่านคือ มุหัมมัด บากิร บิน มุหัหมัด อัลอิสฺตะรอบาดี หนึ่งในผู้รู้ชั้นสูงของชีอะฮฺ เสียชีวิตเมื่อ 1041 ฮิจเราะฮฺศักราช
[3]  ดู อัลคิตอต  ของ อัล มักรีซีย์ (2/351)
[4] ดู อัลมิลัล วัลนิหัล  ของ อัล ชิฮฺริสตานีย์ หน้า 147
[5] ดู  อัลฟัรกฺ บัยนัล ฟิร็อก โดย อัลบัฆบาดีย์ หน้า 41
[6] ดู อุศูล อัลกาฟีย์   ของ อัลกุลัยนีย์ หน้า 40
[7] หนังสือเล่มเดิม ใน บท อัล เตาหีด (1/331)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น