พวกรอฟิเฎาะฮฺ เป็นชนกลุ่มแรกที่มีแนวคิดที่ว่าอัลลอฮฺมีรูปทรง ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ ได้ระบุไว้ว่า “ในบรรดารอฟิเฎาะฮฺที่ริเริ่มกุความเชื่อดังกล่าวได้แก่ ฮิชาม บิน อัลหะกัม[1], ฮิชาม บิน สาลิม อัลญะวาลิกีย์, ยูนุส บิน อับดุลเราะฮฺมาน อัลกุมมีย์ และ อบูญะอฺฟัร อัล อะหฺวัล[2]
ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นแกนนำของพวกชีอะฮฺ อิมามิยะฮฺ ต่อมาคนเหล่านี้ได้กลายเป็นพวกญะฮฺมิยะฮฺที่ปฏิเสธศิฟาต หรือคุณลักษณะทั้งหมดของอัลลอฮฺ เช่นเดียวกับมีรายงานจำนวนหนึ่งจากพวกเขาที่อธิบายคุณลักษณะของอัลลอฮฺในเชิงลบ รวมทั้งปฎิเสธคุณลักษณะที่ถูกต้องของอัลลอฮฺด้วย อิบนุ บาบะวัยฮฺ ได้ยกรายงานมากกว่าเจ็ดสิบสายรายงานว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลานั้นไม่ประกอบด้วยคุณลักษณะแห่งกาลเวลา สถานที่ วิธีการ การเคลื่อนไหว และเคลื่อนที่ ไม่ประกอบด้วยคุณลักษณะใดๆของรูปร่าง ไม่มีทั้งด้านความรู้สึก รูปร่างที่ชัดเจน และรูปภาพ [3]
ดังนั้นเหล่าผู้รู้ของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ จึงได้เดินตามแนวทางอันงมงายนี้ พร้อมกับปฏิเสธคุณลักษณะของอัลลอฮฺที่ถูกระบุไว้ในอัลกุรอานและสุนนะฮฺ
เช่นเดียวกับที่พวกเขาปฏิเสธการลงมาของอัลลอฮฺ พวกเขากล่าวว่า: “อัลกุรอานนั้นเป็นมัคลูกหรือสิ่งถูกสร้าง มิใช่ดำรัสของอัลลอฮฺ” และยังปฏิเสธการมองเห็นอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ในวันอาคีรัต. มีกล่าวในหนังสือ “บิหาร อัลอันวาร” ว่า : “มีคนถามอบู อับดิลลาฮฺ ญะอฺฟัร อัศศอดิก เกี่ยวกับการมองเห็นอัลลอฮฺในวันกียามัตว่าเป็นไปได้หรือไม่?”. ท่านตอบว่า : “มหาบริสุทธิ์และความสูงส่งเป็นขององค์อัลลอฮฺ ที่ทรงห่างไกลจากสิ่งนั้นยิ่งนัก แท้จริงแล้วสายตาไม่สามารถจะมองเห็นได้ นอกจากสิ่งที่มีสีและลักษณะวิธี ในขณะที่อัลลอฮฺคือผู้ที่สร้างมัน [4].
นอกจากนี้ พวกเขายังกล่าวหาผู้ที่ยอมรับถึงคุณลักษณะบางประการของอัลลอฮฺ เช่นการมองเห็นพระองค์ในวันอาคีรัต ว่าเป็นผู้ที่ตกศาสนาหรือมุรตัด ดังที่มีรายงานจาก เชคของพวกเขาที่มีชื่อว่า ญะฟัร อันนัจฟีย์ ในหนังสือ “กัชฟุ อัลเฆาะตออฺ” หน้า 417
แท้จริงแล้ว การมองเห็นอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ในวันอาคีรัตนั้นเป็นสัจธรรมที่อัลกุรอานและสุนนะฮฺได้บอกไว้อย่างชัดเจน ว่าเป็นไปได้และมีจริง โดยที่เราไม่อาจบอกได้ว่าสามารถมองเห็นอย่างไรและขนาดใหน ดังที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้ว่า
( وُجوُهٌ يَومئِذٍ نَّاضِرَةٌ * إلى رَبها نَاظِرَةٌ )
ความว่า : “ในวันนั้นใบหน้า (ของผู้ศรัทธา) จะเบิกบานและเจิดจรัส พวกเขาได้จ้องมองไปยังองค์อภิบาลของพวกเขา”. (อัล กิยามะฮฺ 75:22-23)
และมีรายงานในเศาะฮีหฺ อัล บุคอรี และมุสลิม[5] จาก ญะรีร บิน อับดุลลอฮฺ อัล บะญะลีย์ กล่าวว่า : “ครั้งหนึ่ง ในขณะที่พวกเราได้นั่งอยู่กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ท่านได้มองไปยังพระจันทร์เต็มดวงในคืนสิบสี่ค่ำ แล้วท่านกล่าวขึ้นมาว่า ((แท้จริงพวกท่านจะได้มองเห็นองค์อภิบาลของพวกท่าน อย่างชัดเจน เหมือนดังที่พวกท่านกำลังมองดวงจันทร์อยู่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ต้องแย่งกันมองแต่ประการใด))
ยังมีโองการอัลกุรอานและบทหะดีษอีกมากมาย ที่ยืนยันถึงการมองเห็นอัลลอฮฺของผู้ศรัทธา ในวันอาคีรัต ซึ่งไม่อาจยกมากล่าว ณ ที่นี้ได้ [6]
*****
[2] ดู อิอฺติกอด ฟิร็อก อัลมุสลิมีน วัลมุชริกีน หน้า 97
[3] ดู อัลเตาหีด ของ อิบนุ บาบะวัยฮฺ หน้า 57
[4] ดู หนังสือ บิหาร อัล อันวาร โดย อัลมัจลิสฺซีย์ เล่ม 4 หน้า 31
[5] อัล บุคอรีย์ หมายเลข 544 มุสลิม หมายเลข 633
[6] ดูในหนังสือของ อัล ดาเราะกุฏนีย์ และหนังสือของท่าน อิมาม อัล ลาลิกาอีย์ และอื่นๆ
แท้จริงพวกรอฟิเฎาะฮฺ ที่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในนามของ ชีอะฮฺ อ้างว่าอัลกุรอานที่มีในปัจจุบันไม่ใช่ อัลกุรอานเล่มเดียวกับที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมายังนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม แต่เป็นอัลกุรอานที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติม และตัดแต่งมาแล้ว นักรายงานหะดีษของชีอะฮฺส่วนใหญ่เชื่อว่า อัลกุร อานนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข ดังที่ อัลนูรี อัล ฎ๊อบเราะซีย์ ได้กล่าวไว้ใน หนังสือ “ฟัศลุลคิตอบ ฟี ตัหฺรีฟ กิตาบร็อบบิล อัรบาบ”[1]
มุหัมมัด บิน ยะกูบ อัล กุลัยนีย์ ได้บันทึกในหนังสือ “อุศูล อัลกาฟีย์” ภายใต้หัวข้อเรื่อง “แท้จริงไม่มีผู้ใดสามารถรวบรวมอัลกุรอานทั้งหมด นอกจากบรรดาอิมามเท่านั้น” ว่า ญาบีร กล่าวว่า : ฉันได้ฟัง อบู ญะอฺฟัร กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดที่อ้างตนว่า ได้รวบรวมอัลกุรอานทั้งหมด ดังที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา นอกจากคนผู้นั้นต้องเป็นคนโป้ปดอย่างที่สุด (แท้จริง)ไม่มีผู้ใดที่สามารถรวบรวมและท่องจำอัลกุรอานได้ดังที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมา เว้นแต่ท่านอาลี บิน อบีตอลิบ และบรรดาอิมามหลังจากท่านเท่านั้น”[2]
ญาบิร ได้รายงานจาก อบูญะอฺฟัร ว่า เขาได้กล่าวว่า “ไม่มีผู้ที่สามารถอ้างได้ว่า อัลกุรอาน มีอยู่กับเขาทั้งหมด นอกจากผู้ที่ได้รับการวะศิยัตเท่านั้น”[3]
ฮิชาม บิน สาลิม รายจาก อบูอับดิลลาฮฺ กล่าวว่า “แท้จริงอัลกุรอานที่มลาอิกะฮฺ ญิบรีล(ฑูตจากอัลลอฮฺ) นำมาประทานให้แก่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม นั้น เป็นจำนวนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันโองการ”[4] ความหมายดังกล่าวคือ พวกชีอะฮฺรอฟิเฏาะฮฺได้อ้างว่า อัลกุรอานที่แท้จริงนั้นมีมากกว่า อัลกุรอานที่มีอยู่ในปัจจุบันสามเท่า ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺได้สัญญาว่าจะเป็นผู้พิทักษ์ เราขอห่างไกลจากพวกชีอะฮฺด้วยพระองค์ อัลลอฮฺ
อะหฺมัด อัล ฎ็อบเราะซีย์ ได้รายงานในหนังสือ “อัลอิหฺติญาจ” ว่า: อุมัร ได้กล่าวแก่ ซัยดฺ บิน ษาบิต ว่า : “แท้จริงอาลีได้นำอัลกุรอานที่มีการเปิดโปงความเลวของชาวมุฮาญิรีน และอันศอร์มายังฉัน ดังนั้นเราเห็นว่าจำเป็นต้องเขียนอัลกุรอานขึ้น(ใหม่) และตัดส่วนที่มีการเปิดโปง และบั่นทอนสถานภาพของชาวมุฮาญิรีนและอันศอร์นั้นทิ้งไปเสีย”.
ซัยดฺตอบรับอย่างเห็นด้วยกับข้อเสนอของอุมัร แต่ก็ได้ถามอุมัรว่า: “ถ้าหากว่าอาลีได้นำอัลกุรอานที่เขาเขียนขึ้นมาเปิดเผยแก่สาธารณชน หลังจากที่ฉันเสร็จจากการเขียนอัลกุรอานดังที่ท่านขอแล้ว ความพยายามของท่านมิสูญเปล่าดอกหรือ?”
ดังนั้นอุมัรจึงถามว่า “แล้วเราจะเลี่ยงมันอย่างไรดี ?”
ซัยดฺ ตอบกลับไปว่า “ท่านน่าจะรู้จักวิธีดีกว่าเรา”
อุมัรจึงตอบไปว่า : “ไม่มีวิธีใดที่จะสามารถเลี่ยง(จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้) นอกเสียจากเราต้องฆ่าและกำจัดอาลีให้พ้นทางเสีย แล้วเราจะได้พักผ่อนเสียที” ดังนั้นอุมัรจึงได้วางแผนให้ คอลิด บิน อัลวะลีด กำจัดอาลีเสีย แต่แผนการนั้นไม่สำเร็จ…
หลังจากที่อุมัรได้ขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮฺ เหล่าเศาะหาบะฮฺได้ร้องขอให้อาลี มอบอัลกุรอานที่ท่านครอบครองอยู่ให้แก่พวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้นำไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขเสียใหม่.
อุมัรเอ่ยขึ้นว่า : “นี่ อบูล หะสัน! ทำไมท่าน ไม่นำ อัลกุรอาน ที่ท่านเคยนำไปยังอบูบักร มาให้เราหล่ะ เพื่อที่เราจะได้ปฎิบัติมัน?”
อาลีตอบว่า : “ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะแท้จริงที่ฉันนำไปให้ อบูบักร ดูนั้น เพื่อเป็นหลักฐานมัดตัวเขา และเพื่อไม่ให้พวกท่านสามารถแย้งได้ในวันกียามัตว่า
( ... إنَّا كُنَّا عَن هَذا غَافِلِينَ )
ความว่า “แท้จริงพวกเราได้หลงลืมต่อสิ่งนี้” หรือ
อ้างว่า ( อัล อะรอฟ 27:172)
( ... مَا جِئتَنَا .. )
ความว่า “ท่านไม่ได้นำมาบอกแก่เรา”
( อัล อะรอฟ 27:129)
ที่จริงไม่มีผู้ใดที่สามารถจับต้องอัลกุรอานนี้ได้ นอกจากบรรดาผู้บริสุทธิ์ และผู้ที่ได้รับการสืบทอดในหมู่ลูกหลานของฉันเท่านั้น”.
อุมัร ถามว่า : “มีการกำหนดเวลาแห่งการเปิดเผยอย่างแน่นอนไหม?”
อาลี ตอบกลับว่า : แน่นอน เมื่อมีผู้ที่ยืนหยัดในหมู่ลูกหลานฉันได้เปิดเผยมัน และเรียกร้องผู้คนให้ใช้มัน” [5]
ถึงแม้พวกชีอะฮฺ ต่างแสดงตนบอกปัดและปฎิเสธหนังสือของ อัลนูรีย์ อัล ฎ็อบเราะซีย์ เพื่อปกปิดความจริงตามความเชื่อของพวกเขาที่เรียกว่า “อัลตะกิยะฮฺ” แต่เป็นที่ประจักษ์ว่า หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยหลักฐานนับร้อย ที่ได้อิงมาจากเหล่าผู้รู้จากหนังสือที่ได้รับการเชื่อถือของพวกเขา หลักฐานเหล่านี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาต่างเชื่อมั่นและยืนยันอย่างแข็งขันว่า อัลกุรอานที่มีอยู่ปัจจุบันนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างแน่นอน แต่เพื่อมิให้เป็นการสร้างความวุ่นวายเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเขาที่มีต่อ อัลกุรอาน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามปกปิดความเชื่อนี้ต่อหน้าประชาชนทั่วไป.
สรุปแล้ว อัลกุรอานนั้นมีอยู่สองเล่ม คือเล่มที่รู้กันทั่วไป และเล่มที่ถูกซุกซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นที่รู้กันเฉพาะวงในเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วยสูเราะฮฺ อัล วิลายะฮฺ ที่ชีอะฮฺอ้างว่าถูกตัดออกไปจากอัลกุรอานฉบับปัจจุบัน ดังที่ อัลนูรีย์ อัล ฎ๊อบเราะซีย์ ได้กล่าวในหนังสือของเขาชื่อว่า “ฟัศลุลคิตอบ ฟี ตัหฺรีฟ กิตาบร็อบบิล อัรบาบ” ซึ่งอายัตที่มีความหมายว่า “และเราได้ทำให้อาลีนั้นเป็นเขยของเจ้า” พวกเขาอ้างว่าอายัตนี้ถูกตัดออกไปจากสูเราะฮฺ อัช ชัรหฺ[6] พวกเขาไม่รู้สึกกระดากหรือเก้อเขินเลยที่กล่าวเช่นนั้น ทั้งๆที่พวกเขาเองรู้อยู่เต็มอกว่า สูเราะฮฺนี้ถูกประทานลงมาที่นครมักกะฮฺ(ก่อนการฮิจเราะฮฺ) ซึ่งขณะนั้นอาลียังไม่ได้เป็นเขยท่านนบีแต่อย่างใด…!
*****
[1] ดูหนังสือดังกล่าว โดย หุเส็น บิน มุหัมมัด ตะกีย์ อัลนูรี อัล ฎ๊อบเราะซีย์ หน้า 32
[2] อุศูล อัลกาฟีย์ โดย อัล กุลัยนีย์ (1/284)
[3] อ้างอิงเดิม (1/285)
[4] อุศูล อัลกาฟีย์ โดย อัล กุลัยนีย์ (2/634) และ อัลมัจลิซีย์ ซึ่งเป็นผู้รู้ของพวกชีอะฮฺได้กล่าวด้วยความมั่นใจหนังสือของเขาชื่อ มิรอาตุลอุกูล (12/525) ว่า หะดีษดังกล่าวนั้นเชื่อถือได้ และกล่าวต่ออีกว่า การรายงานนั้นถูกต้อง และมีการรายงานจำนวนมากที่ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าอัลกุรอานมีจำนวนไม่ครบและถูกเปลี่ยนแปลง และฉันมีความเห็นว่าสายรายงานเรื่องนี้มีความหมายที่ถูกต้อง
[5] ดู อัลอิหฺติญาจ ของ อัล ต็อบเราะซีย์ หน้า 225 และ ฟัศลุล คิต็อบ หน้า 7
[6] ดู หนังสือ ฟัศลุลคิตอบ ฟี ตัหฺรีฟ กิตาบร็อบบิล อัรบาบ โดย อัลนูรี อัล ฎ๊อบเราะซีย์ หน้า 347
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น