เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อะไรคือ มุตอะห์ และมีความพิเศษเช่นไรในความเชื่อของรอฟิเฎาะฮฺ ?

อะไรคือ มุตอะห์ และมีความพิเศษเช่นไรในความเชื่อของรอฟิเฎาะฮฺ ?

มุตอะห์ หรือ การสมรสชั่วคราว ในความเชื่อของรอฟิเฎาะฮฺ มีความสำคัญที่พิเศษ ขออัลลอฮฺทรงให้เรารอดพ้นจากความเชื่อนี้ ในหนังสือ มันฮัญ อัศศอดิกีน โดย ฟัตหุลลอฮฺ อัล กาชานีย์  ได้รายงานจาก อัศศอดิก ว่า : มุตอะห์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาฉันและศาสนาของบรรพบุรุษของฉัน ผู้ใดที่ปฏิบัติมัน ย่อมแสดงว่าเขาได้ยึดถือศาสนาของเรา ผู้ใดที่ปฏิเสธมัน ผู้นั้นก็คือผู้ปฏิเสธศาสนาของเรา หนำซ้ำผู้นั้นคือผู้ที่ปฎิบัติตามศาสนาอื่น บุตรที่ได้จากการมุตอะห์ดีกว่าที่ได้จากภรรยาผู้เป็นคู่ชีวิต และผู้ใดที่ปฏิเสธมุตอะห์ ย่อมต้องเป็นกาฟิรมุรตัด [1]
อัล กุมมีย์ ในหนังสือ มัน ลา ยะห์ฏูรฮุ อัลฟะกีฮ  ได้รายงานจาก อับดุลลอฮฺ บิน สินาน จากอบู อับดิลลาฮฺ ว่า :  แท้จริง อัลลอฮผู้ทรงบารอกัตและสูงส่งนั้น ได้ห้ามชีอะฮฺจากของมึนเมาในหมู่เครื่องดื่ม และได้ทดแทนมันด้วยมุตอะห์ [2]
ในหนังสือ ตัฟซีร มันฮัญ อัศศอดิกีน โดย มุลลา   ฟัตหุลลอฮฺ อัลกาชานีย์ รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า : ผู้ใดที่ทำการมุตอะห์หนึ่งครั้ง เขาจะได้รับการปลดปล่อยจากไฟนรกหนึ่งส่วนสาม ผู้ใดที่ทำการมุตอะห์สองครั้งเขาจะรับการปลดปล่อยจากไฟนรกสองส่วนสาม และผู้ใดทำการมุตอะห์สามครั้งเขาจะได้รับการปลดปล่อยจากไฟนรกทั้งหมด
จากอ้างอิงเดียวกัน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า : ผู้ใดที่ทำการมุตอะห์หนึ่งครั้งเขาจะปลอดภัยจากการโกรธกริ้วของผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ใดที่ทำการมุตอะห์สองครั้งเขาจะเข้าร่วมกับฝูงชนที่ทำความดี และผู้ใดที่ทำมุตอะห์สามครั้งเขาจะมาร่วมอยู่กับฉันในสวนสวรรค์”
รายงานจากอ้างอิงดังกล่าวอีกเช่นกัน “ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า : ผู้ใดที่ทำการมุตอะห์หนึ่งครั้ง ตำแหน่งของเขาเสมือนกับหุเสน ผู้ใดที่ทำการมุตอะห์สองครั้งตำแหน่งของเขาเสมือนกับหะสัน ผู้ใดที่ทำการมุตอะห์สามครั้ง ตำแหน่งของเขาเสมือนอาลี บิน อบีตอลิบ และผู้ใดทำการมุตอะห์สี่ครั้งตำแหน่งของเขาเสมือนกับฉัน”[3]

รอฟิฎอฮฺ ไม่ได้กำหนดจำนวนที่แน่นอนสำหรับการมุตอะห์ ใน ฟุรูอฺ อัลกาฟีย์, อัตตะห์ซีบ และ อัล อิสติบฺศอร จาก ซุรอรอฮฺ กล่าวว่า : ฉันได้ถาม อบี อับดิลลาฮฺ เกี่ยวกับมุตอะห์ ว่าเฉพาะสี่คนเท่านั้นหรือ ? ท่านตอบว่า : จงสมรสกับพวกนางได้เป็นพัน เพราะแท้จริงพวกนางคือสตรีที่ถูกจ้าง และรายงานจาก มุหัมมัด บิน มุสลิม จากอบี ญะฟัร กล่าวว่า : มุตอะห์ไม่ใช่เฉพาะสี่ เพราะไม่มีการหย่าสำหรับพวกนาง พวกนางไม่ได้รับมรดก แต่พวกนางเป็นพวกที่ถูกว่าจ้าง [4]
เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร ในขณะที่อัลลอฮฺทรงตรัสว่า :
 ( والَّذَينَ هُم لِفُرُجِهِم حَافِظُونَ * إلا عَلَى أزوَاجِهِم أو مَا مَلَكَت أيمَانُهُم فَإنَّهُم غَيرُ مَلُمِينَ * فَمَنِ ابتَغَى وَرَاءَ ذلِكَ فَأُلئكَ هُمُ الَعادونَ )

ความว่า : และพวกเขา(ผู้ศรัทธาที่ได้รับความสำเร็จในอาคีรัต) คือ บรรดาผู้ที่รักษาอวัยวะเพศจากสิ่งที่หะรอม นอกเสียจากจะเป็นบรรดาภรรยาหรือเหล่าข้าทาสของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถูกประนาม ส่วนผู้ใดที่เลยเถิดไปจากนั้น พวกเขาก็คือผู้ที่ทำเกินขอบเขต                                 [อัลมุอฺมินูน 23:5-7]

โองการเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ที่อนุมัตินั้นมีเฉพาะผู้เป็นภรรยาและข้าทาสเท่านั้น ที่เหลือนอกจากนี้ถือเป็นหะรอม และผู้หญิงที่เป็นมุตอะห์คือคนที่ถูกจ้างหรือถูกเช่า ดังนั้นนางจึงไม่ใช่ภรรยา ไม่ได้รับมรดกและไม่ถูกหย่า เมื่อเป็นเช่นนี้จึงถือว่านางเป็นโสเภณี ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครองเรา
ท่านเชค อับดุลลอฮฺ บิน อัล ญับรีน ได้กล่าวว่า :         พวกรอฟิเฏาะฮฺได้ยกอ้างการมุตอะห์ด้วยดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า :

 ( والمُحصَناتُ مِنَ النِّسَاءِ إلا ما مَلَكَت أيمانُكُمۖ كِتَابَ اللهِ عَلَيكُمۚ وَأُحِلَّ لكُم مّا وَرَاءَ ذلِكم أن تَبتَغُوا بِأَموالِكُم مُّحصِنِينَ غَيرَ مُسَافِحِينَۚ  فَمَا استَمتَعتُم بهَ مِنهُنَّ فَئَاتُوهُنَّ أُجُرَهُنَّ فَرِيضَةً )

ความว่า :  และบรรดาสตรีที่มีสามี (ถือเป็นที่หะรอมสำหรับพวกเจ้า) ยกเว้นผู้ที่เป็นข้าทาสบริวาร นั่นคือกำหนดของอัลลอฮฺ และเป็นที่อนุมัตินอกเหนือจากที่กล่าวมา ด้วยการที่สูเจ้าจัดหาด้วยสมบัติของสูเจ้าโดยบริสุทธิ์และไม่เป็นการผิดประเวณี ที่สูเจ้าได้ร่วมกับพวกนางก็จงให้สินทรัพย์กับพวกนาง โดยที่การนี้เป็นเรื่องบังคับ และไม่เป็นความผิดถ้าสูเจ้าจะให้แก่พวกนางมากกว่าจำนวนที่เป็นการบังคับนั้น
                                                   [อันนิสาอฺ 4:24]

คำตอบก็คือ โองการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน(ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมุตอะห์) ตั้งแต่โองการที่ 19-24 ว่า

( لا يَحِلُّ لَكُم أن تَرِثُوا النِّسَاءَ )

ความว่า : ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับสูเจ้าที่จะรับหญิงหม้ายเป็นมรดก...


(وإن أرَدتُّمُ استِبدَالَ زوجٍ مَّكَانَ زَوجٍ )
ความว่า : และถ้าสูเจ้าต้องการแทนภรรยาของสูเจ้าด้วยหญิงอื่น...
( ولا تَنكِحُوا مَا نَكَحَ ءابَاؤُكُم )

ความว่า : และจงอย่าสมรสกับผู้ที่บิดาของสูเจ้าได้สมรสแล้ว...
(حُرِّمَتْ عَلَيْكُمْ أُمَّهَاتُكُمْ )

ความว่า : เป็นที่ห้ามสำหรับสูเจ้าซึ่งมารดาของสูเจ้า

หลังที่พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสถึงสิ่งที่หะรอมเนื่องจากทางสายเลือดหรือสาเหตุอื่นๆในโองการข้างต้นแล้ว พระองค์ได้ตรัสต่ออีกว่า :
                             
(وَأُحِلَّ لَكُمْ مَا وَرَاءَ ذَلِكُمْ )
ความว่า : และเป็นที่อนุมัตินอกเหนือจากที่กล่าวมา

ความหมายก็คือ อนุมัติให้แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้กล่าวมาในโองการข้างต้น ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าแต่งงานกับพวกนางเพื่อร่วมสุข นั่นคือการสมรสที่ถูกต้อง ก็จงจ่ายสินสอดที่พวกเจ้าต้องจ่ายให้นาง ถ้านางยอมให้พวกเจ้าลดค่าสินสอดด้วยความประสงค์ของพวกนางเองก็ถือว่าไม่ผิด เช่นนี้คือการอธิบายโองการของบรรดาศอหาบะฮฺและบรรดาผู้รู้หลังจากพวกเขา [5]
เชค อัตตออิฟะห์ อัล ตูซีย์ ในหนังสือ ตะห์ซีบ อัลอะห์กาม ได้ดูถูกและรังเกียจการนิกะห์มุตอะห์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า : หากผู้สตรีนั้นจากครอบครัวที่มีเกียติ แท้จริงการมุตอะห์เป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตสำหรับเธอ เนื่องจากจะทำให้ครอบครัวของเธอเสียเกียติแล้ว และยังทำให้เธอเป็นที่ดูถูกอีกด้วย[6]
ที่นอกเหนือจากนี้ รอฟิเฎาะฮฺ ยังเห็นว่า การร่วมเสพกับผู้หญิงทางทวารหนักนั้นเป็นสิ่งที่อนุมัติ ใน หนังสือ อัล อิสติบศอร์  มีบันทึกจาก อาลี บิน อัล หะกัม ว่า :  ฉันได้ฟัง ศอฟวาน เล่าว่า : ฉันได้บอกแก่ อัร รีฏอ ว่า มีชายผู้หนึ่งผู้เป็นบ่าวของท่านผู้หนึ่งต้องการถามท่านเรื่องหนึ่ง แต่เขากลัวท่านและอายที่จะพูด ดังนั้นจึงวานให้ฉันถามท่านแทน. อัร รีฎอ ถามว่า : เรื่องอะไร ? ฉันบอกว่า : ผู้ชายสามารถที่จะเสพทางทวารได้หรือไม่ ? ท่านตอบว่า : แน่นอน เขาสามารถทำเช่นนั้นได้ [7]

*****



[1] ดู  มันฮัญ อัศศอดิกีน โดย อัล มุลลา ฟัตหุลลอฮฺ อัล กาชานีย์ หน้า 2/495
[2] ดู  มัน ลา ยะห์ฏูรฮุ อัลฟะกีฮ โดย อิบนุ บาบะวัยฮฺ อัล กุมมีย์ หน้า 330
[3] ดู ตัฟซีร มันฮัญ อัศศอดิกีน โดย อัล มุลลา ฟัตหุลลอฮฺ อัล กาชานีย์ 2/492-493
[4] ดู ฟุรูอฺ มินัลกาฟีย์ โดย อัลกุลัยนีย์  5/451 และ อัตตะห์ซีบ โดย อัลกาชานีย์ 2 /188
[5] จากคำอธิบายของเชค อับดุลลอฮฺ บิน อัล ญับรีน อนึ่ง หลักฐานที่ห้ามการมุตอะห์ในหะดีษก็คือ หะดีษที่รายงานโดย อัร รอบีอฺ บิน สบุเราะห์ อัล ญุฮะนีย์ จากบิดาของท่านว่า :  เคยได้ฟังท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวตอนฉันอยู่กับท่านว่า : (( โอ้ ผู้คนทั้งหลาย ฉันเคยได้อนุมัติให้พวกท่านร่วมสุขกับเหล่าสตรี(ด้วยวิธีมุตอะห์) และแท้จริงอัลลอฮฺได้ห้ามการนั้นแล้ว ตั้งแต่บัดนี้จนถึงกิยามัต ดังนั้นผู้ใดที่ยังทำสิ่งนี้อยู่ ก็จงปล่อยพวกนางเสีย และอย่าได้ริบเอาสิ่งที่พวกท่านให้นาง แม้แต่ประการใด )) รายงานโดย มุสลิม หะดีษที่ 1406
[6] ดู ตะห์ซีบ อัลอะห์กาม โดย อัล ตูซีย์ 7/227
[7] ดู  อัล อิสติบศอร์  เล่มที่ 3 หน้า 243

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น