พวกรอฟิเฎาะฮฺเป็นผู้ที่กุความเชื่อนี้ อัล มุฟีด ได้กล่าวว่า “พวกอิมามิยะฮฺล้วนมีความเห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้วบางส่วนจำนวนมากต้องฟื้นขึ้นอีกครั้ง(ก่อนวันกียามัต) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” [1] นั่นก็คือในช่วงท้ายชีวิตโลก อิมามคนสุดท้ายที่พวกเขาเรียกว่า อัล กออิม (ผู้ยืนหยัด) จะออกมาจากที่หลบซ่อน และประหารศัตรูที่เป็นนักการเมืองทั้งหมด หลังจากนั้นจะคืนสิทธิทั้งหมดให้เป็นของชีอะฮฺ ซึ่งถูกแย่งชิงไปโดยพวกอื่นมาเป็นเวลานานหลายศัตวรรษ [2]
ซัยยิด อัร มุรตะฎอ ในหนังสือ อัลมะสาอิล อัลนาศิริยะห์ ได้กล่าวว่า : อบู บักร และอุมัร จะถูกจับกางเขนบนต้นไม้ ในวันแห่งการปกครองของอัล มะห์ดี อิมามคนที่สิบสอง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ยืนหยัดแห่งครอบครัวมุหัมมัด ต้นไม้นั้นเป็นต้นไม้ที่เขียวสด แต่หลังจากที่คนทั้งสองถูกนำไปกางเขนไว้ มันก็จะแห้งตาย [3]
อัล มัจลิสซีย์ ในหนังสือ หักฺกุลยะกีน ได้รายงานจาก มุหัมมัด อัล บากิร ว่า : “เมื่อกำเนิดมะห์ดี อาอิชะห์ก็จะฟื้นขึ้น เพื่อมารับการลงทัณฑ์ที่ผิดประเวณี” [4]
ความเชื่อในเรื่องนี้ เติบใหญ่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาเชื่อว่า ชีอะฮฺและบรรดาอิมามทุกคนของพวกเขา จะฟื้นขึ้นพร้อมกับคู่ปรับของพวกเขาทั้งหมด ความเชื่อนี้แสดงให้เห็นถึงความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในหัวใจของพวกเขา และได้กลายมาเป็นเรื่องราวไร้สาระที่พวกเขากุขึ้น อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่พวกสะบะอียะฮฺใช้ในการปฏิเสธวันอาคีรัต
การฟี้นอีกครั้ง หมายถึง การที่ได้ล้างแค้นหรือแก้แค้นต่อผู้ที่เป็นศัตรูของชีอะฮฺ แต่แล้วใครคือศัตรูของชีอะฮฺ?? พี่น้องมุสลิมครับ การรายงานดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงความอิจฉาริษยาของชีอะฮฺต่อมุสลิม และความจงรักภักดีของเขาต่อยิวและคริสเตียน
อัลมัจลิซีย์ ได้บันทึกในหนังสือของเขา บิหาร อัลอันวาร “รายงานจาก อบู บะศีร จาก อบู อับดุลลอฮฺ กล่าวว่า : เขาได้บอกแก่ฉันว่า “โอ้ อบู มุหัมมัด ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันเห็น การลงมาของท่าน อัลกออิม(ผู้ยืนยัด)สู่มัสยิด อัล ซะห์ละห์ พร้อมกับครอบครัวเขา...” จนถึงคำพูดของเขาที่ว่า ฉันได้ถามว่า : แล้วพวกที่ไม่ใช่มุสลิมเขาจะได้รับการตอบแทนจากผู้ยืนยัดเช่นไร? อบู บะศีร ตอบว่า : ให้ความจำนนต่อพวกเขา เหมือนที่ท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม ได้ให้จำนนต่อพวกเขาด้วยการที่พวกเขาต้องจ่ายภาษี ในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ที่น่าเวทนา” ฉันก็ได้ถามว่า “แล้วใครคือศัตรูของพวกท่าน?” เขาตอบว่า : โอ้ อบู มุหัมมัด!! ศัตรูนั้นคือคนที่ขัดแย้งต่อพวกเรา ในการปกครองของเรา แท้จริงแล้ว อัลลอฮฺได้หะลาลเลือดเนื้อของพวกเขา เมื่อใดที่ผู้ยืนยัดมาถึง แต่วันนี้ สิ่งดังกล่าวนั้นยังเป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับพวกเราและพวกท่านอยู่ เมื่อผู้ยืนยัดลงโทษพวกเขาเพื่ออัลลอฮฺ เพื่อรสูล และเพื่อพวกเราทุกคน ก็จะไม่มีใครมาล่อลวงท่านอีก”[5]
พี่น้องมุสลิมดูซิครับ ว่าอิมามมะห์ดีย์ ของชาวชีอะฮฺ ได้ยอมจำนนทุกอย่างต่อยิวและคริสเตียน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาทำสงความกับผู้ที่ไม่สอดคล้องกับพวกเขานั้นคือชาวสุนนะห์ มีคำกล่าวของชีอะฮฺผู้หนึ่งว่า นี้คือการตอบแทนต่อผู้ที่เป็นศัตรูต่ออะห์ลุ อัลบัยตฺ แต่ชาวสุนนะห์ไม่ได้เป็นศัตรู ดังนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องได้รับการตอบแทนด้วยการหลั่งเลือดจากอิมามมะห์ดีย์ ของพวกรอฟิเฏาะฮฺ
ผมขอเรียนให้ทราบว่า มีการรายงานจำนวนมากจากรอฟิเฏาะฮฺที่ยืนยันว่า อัลนาศิบะห์ คือชาวสุนนะห์ ดูข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้ได้จากหนังสือ อัลมะหาสิน อัลนัฟสานิยะห์ โดย หุเสน อาลา อุศฺฟูร อัลดารอซีย์ อัลบะห์รอนีย์, อัชชิฮาบ อัลซากิบ ฟี บายาน มะอฺนา อัลนาศิบ โดย ยูซุฟ อัลบะห์รอนีย์
*****
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น