เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เหตุการณ์ อิรติดาดในแค้วน Najd



โดยอาจารย์ รอฟลี แวมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา ชำนาญการด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ

            Tulayhah B. Khuwaylid Al-Asadi
           
Tulayhah B. Khuwaylid Al-Asadi เป็นคนจากเผ่า Asad เผ่านี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเข้ารับอิสลามและซื่อสัตย์ต่อรัฐบาลอิสลามที่ Madinah ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นไม่ยอมรับอิสลาม กลุ่มดังกล่าวนี้นำโดย Tulayhah ซึ่งเริ่มแรกเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล Madinah ในปี ฮ.. ที่ 3 พร้อมกับน้องชายของเขาคนหนึ่งชื่อว่า Salamah B. Khuwaylid Al-Asadi เขาพร้อมกับพรรคพวกเคยจู่โจมนคร Madinah ในปี ฮ.. ที่ 3และปีที่ 5 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ Tulayhah  เข้ารับอิสลามในปี ฮ.ศ ที่ 9 ต่อมาในปี ฮ..ที่ 11 เขาประกาศถอนตัวจากการเป็นมุสลิม (มุรตัด) พร้อมกับอ้างตัวเป็นศาสดาเทียบเคียงกับท่านนบี และเรียกร้องให้เผ่าต่างๆให้การสนับสนุนเขา มีคนในเผ่า Tayy (เป็นคู่สัญญามิตรภาพกับเผ่า Asad) เผ่า Ghatafan และเผ่า Fazarah ให้การสนับสนุน Tulayhah     เขานำพรรคพวกและกองทัพตั้งแคมป์อยู่ที่ Samira’ ( Sahira’?)

            เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวทราบถึงท่านนบีที่ Madinah ท่านจึงส่งกองทัพหนึ่งนำโดย Dhirar B. Al-Azwar[1] มาปราบ Tulayhah แต่เนื่องจากว่า Tulayhah มีพรรคพวกและกลุ่มสนับสนุนมาก จึงไม่อาจปราบได้ง่ายและถอนทัพกลับมายัง Madinah ประจวบเวลานั้นท่านนบีเสียชีวิตและท่าน Abu Bakr ขึ้นมาเป็น Khalifah

            ข่าวคราวการเสียชีวิตของท่านนบีทำให้เกิดกลุ่มมุรตัดมากขึ้น พรรคพวกของ Tulayhah ก็เพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ Madinah เป็นอย่างมาก ท่าน Abu Bakr จึงตัดสินใจส่งกองทัพนำโดยท่าน Khalid B. Al-Walid[2] เข้าไปปราบ Tulayhah และพรรคพวกที่ Buzakhah[3] ก่อนที่กองทัพของ Khalid จะเดินทัพไปยังที่นั้น ท่าน Abu Bakr ได้ส่ง ‘Adiyy B. Hatim[4] เข้าไปเจรจากับคนในเผ่าของเขา คือเผ่า Tayy และพรรคพวกของเขาในเผ่า Jadilah เพื่อให้พวกเขาถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุน Tulayhah และมาร่วมกับกองทัพ Khalid  เขาสามารถชักชวนคนในเผ่า Tayy และ Jadilah เข้าร่วมเป็นกองกำลังในกองทัพ Khalid ได้ถึง 1,000 คน  

            ท่าน Khalid ได้นำทัพไปยัง Buzakhah และส่ง Ukasyah B. Mihsan และ Sabit B. Aqram ไปเจรจากับ Tulayhah เพื่อยอมสยบต่อกองทัพอิสลาม Tulayhah ไม่ยอมแพ้แถมสังหารทั้งสองจนเสียชีวิต  เมื่อข่าวการเสียชีวิตทราบถึง Khalid ด้วยความโกรธแค้น ท่านจึงยกทัพมาเผชิญหน้ากับกองทัพ Tulayhah และต่อสู้อย่างดุเดือด ในระหว่างการต่อสู้นั้น Uyaynah B. Hisn Al-Fazari[5] ซึ่งเป็นแม่ทัพเอกคนหนึ่งของ Tulayhah ได้ประเมินสถานการณ์เห็นว่าซึ่งฝ่าย Tulayhah เป็นผู้เสียเปรียบทุกขณะ Uyaynah จึงเข้าไปหา Tulayhah ถามถึงวะหฺยูและความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาได้เข้าไปซัดไซร์ถามหลายครั้ง ในที่สุด Tulayhah ตอบว่า มะลาอิกะฮฺได้นำวะหฺยูมาแล้วโดยกล่าวว่า แน่แท้ในวันนี้จะประสบกับความปราชัยก่อน และชัยชนะจะเป็นของเจ้าในที่สุด นั่นคือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถลืมเลือนได้”  เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าน Uyaynah โกรธมากและวิ่งไปหาคนในเผ่า Fazarah พร้อมกับประกาศว่า โอ้ ชาวเผ่า Fazarah เอ๋ย… Tulayhah นั้นไม่ใช่ใครหรอก เขาคือศาสดาจอมปลอมและโกหกมดเท็จ  จงถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนเขาเถอะเผ่า Fazarah ก็ถอนตัวออกจากกองทัพ Tulayhah ทำให้กองทัพ Tulayhah อ่อนแอมากขึ้น เมื่อประเมินสถานการณ์แล้วไม่สามารถเอาชนะกองทัพอิสลามได้ Tulayhah พร้อมกับภรรยาชื่อว่า Al-Nuwar จึงตัดสินใจหนีเอาตัวรอดไปยังประเทศ Syria ปล่อยให้กองทัพกระจัดกระจายถูกกองทัพอิสลามเข้าขยี้อย่างราบคาบและยอมแพ้ในที่สุด ส่วน Tulayhah หนีไปอยู่ใน Syria และกลับตัวเป็นมุสลิมใหม่ในที่สุด ต่อมาเขามีความภักดีต่อ Khalifah Umar เข้าร่วมสงครามอีรัก และเสียชีวิตในสมัยของท่าน Khalifah Umar

            Sajah Bt. Al-Haris และ Malik B. Nuwayrah

             นาง Sajah มีชื่อจริงว่า Sajah Bt. Al-Haris B. Suwayd Uqfan Al-Tamimiyyah หรือเรียกว่า Ummu Sadir  บิดาของนางมาจากเผ่า Tamim แขนง Yarbu’ ส่วนฝ่ายแม่นั้นจากเผ่า Taghlib อยู่ในเขต Mesopotamia ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสต์  นางเป็นนักมายากลและนักพยากรณ์ นางได้อ้างตัวเองว่าเป็นศาสดาหลังจากท่านนบีเสียชีวิตใน ฮ..ที่ 11 และมีประชาชนหลงเชื่อและติดตามนางเป็นจำนวนมาก นางอ้างว่าได้รับสาส์นจากพระเจ้าผู้มีนามว่า Rabbu’s-Sahab นักบูรพาคดีท่านหนึ่งชื่อว่า Philip K. Hitti พูดถึงเกี่ยวกับนางในหนังสือ  The History of Arabs ไว้ว่า นางเป็นนักมายากลชาวคริสต์ที่ลุ่มหลงในอำนาจและทรัพย์สิน

            นางได้ยกกองทัพมายังทางใต้โดยมีเป้าหมายเพื่อโจมตีรัฐบาลอิสลามและยึดนคร Madinah มีคนจากเผ่าต่างๆ เข้าร่วมสนับสนุนนาง เช่นเผ่า Namr, Iyad และ Syaiban นางได้ยกทัพมาถึงที่หนึ่งเรียกว่า Al-Hazan ซึ่งเป็นที่อยู่ของเผ่า Tamim (เผ่าเดี่ยวกันกับนางทางฝ่ายบิดา)

            ในสมัยของท่านนบีนั้นคนในเผ่า Tamim ส่วนใหญ่เข้ารับอิสลามและท่านศาสดาได้แต่งตั้ง Al-Zibriqan B. Badir, Qays B. Asim, Safwan B. Safwan, Waki’ B. Malik และ Malik B. Nuwayrah เป็นผู้ดูแลและเก็บ Zakat คนในเผ่า Tamim เมื่อท่านนบีเสียชีวิต คนในเผ่า Tamim เกิดความแตกแยกเป็น 3 กลุ่มคือ
1.             ยังยึดมั่นในอิสลามและยอมรับท่าน Abu Bakr เป็น Khalifah พร้อมกับจ่าย Zakat เหมือนที่เคยจ่ายในสมัยของท่านนบี
2.             เป็นมุรตัด ประกาศไม่ยอมจ่าย Zakat และต่อต้าน Abu Bakr กลุ่มนี้นำโดย Malik B. Nuwayrah[6] และ Waki’ B. Malik[7] เอง
3.             กลุ่มนี้วางตัวเป็นกลางและดูภาวะการณ์ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะจึงจะเข้าร่วม

            Sajah เมื่อทราบข่าวการแตกแยกของเผ่า Tamim นางก็ถือโอกาสส่งตัวแทนไปยัง Malik และ Waki’ เพื่อให้การสนับสนุนเขา ในเรื่องท่าทีของ Malik และ Waki’ ต่อการเรียกร้องของ Sajah นั้น นักประวัติศาสตร์มี  2  รายงานดังนี้
1.             Malik และ Waki’ ยินดีที่จะร่วมกับ Sajah เพื่อต่อต้านรัฐบาล Madinah แต่มีเงื่อนไขว่า Sajah จะต้องนำทัพร่วมกับเขาในการปราบเผ่า Tamim ที่ยังยึดมั่นกับอิสลาม ซึ่งมีปัญหาว่าไม่รู้จะเริ่มต้นปราบปรามกลุ่มไหนก่อน เพราะว่าเผ่า Tamim นั้น ล้วนแต่เป็นพรรคพวกและพี่น้องกัน
2.             Malik และ Waki’ ไม่ตอบรับที่จะร่วมอุดมการณ์กับ Sajah ทั้งนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการด้วยกัน เช่น
. ทั้งสองต้องการเป็นผู้นำเอง ไม่ยอมที่จะอยู่ภายใต้การนำของ Sajah
. ทั้งสองฝ่ายนั้นมีความแตกต่างในเรื่องความเชื่อ (Political Ideology)    
     เพราะ Sajah นั้นเป็นคริสต์ ส่วน Malik และ Waki’ นั้นเป็นมุซริก
. ทั้งสองยังลังเลใจที่จะต่อต้านหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลอิสลามแห่งมะดีนะห์

            ในขณะที่ Sajah ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนจาก  Malik และ Waki’ ในการให้การสนับสนุนนั้น Sajah ก็เดินทัพต่อมายังทางใต้ยังเขต Yamamah ซึ่งมีเผ่า Hanifah อาศัยอยู่ที่นั้นโดยมี Musaylamah เป็นผู้นำ  การที่นาง Sajah เคลื่อนทัพไปยัง Yamamah นั้นด้วยเหตุผลหลายประการ คือ
1.             Yamamah เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร
2.             ใน Yamamah มีประชากรมาก ราว 40,000 กว่าคน หากสามารถดึงดูดบุคคลเหล่านี้ เป็นแนวร่วมได้ก็จะมีพลังทางทหารที่เข้มแข็งมาก
3.             ในเผ่า Hanifah มีประชาชนนับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก
4.             เป็นแหล่งสินค้าและทางผ่านของคาราวานพาณิชย์ระหว่างแคว้น Yaman กับ Persia

            สำหรับ Khalid B. Al-Walid เมื่อปราบกลุ่ม Tulayhah ที่ Buzakhah เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้รับคำสั่งจาก Abu Bakr ให้ยกทัพมาปราบเผ่า Tamim ที่ Al-Butah ซึ่งมี Malik  B. Nuwayrah เป็นแกนนำกลุ่มมุรตัด  เมื่อข่าวการยกทัพมาของ Khalid ทราบถึง Malik เขารู้สึกกลัวมากและไม่รู้จะวางตัวอย่างไร เพราะเขาทราบดีถึงพิษสงของ Khalid ดีและไม่สามารถที่จะเอาชนะกองทัพของ Khalid ได้อย่างแน่นอน  เขาได้สั่งให้พรรคพวกและกองทหารของเขาสลายตัว เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตแก่ Khalid

            เมื่อ Khalid เดินทัพมาถึง Al-Butah ท่านก็ส่งคนสืบข้อมูลเกี่ยวกับ Malik และพรรคพวกที่เป็นมุรตัด ปรากฏว่า บางคนบอกว่า Malik ยังไม่ถอนตัวจากการเป็นมุสลิม ยังกระทำการละหมาดอยู่ บางคนก็บอกว่า Malik เป็นมุรตัดแล้ว ละทิ้งการละหมาดและต่อต้านรัฐอิสลามที่ Madinah  เมื่อได้รับข้อมูลที่แตกต่างกันอย่างนี้ ท่านจึงตัดสินใจให้ค้นหาตัว Malik ที่หลบซ่อนอยู่ และจับขังตัวเพื่อส่งให้ท่าน Abu Bakr สอบสวนให้การลงโทษต่อไป

            ในระหว่างที่ Malik ถูกกักขังอยู่ในห้องขังอยู่นั้น มีอยู่คืนวันหนึ่งซึ่งอากาศค่อนข้างหนาวจัด Khalid ได้สั่งผู้คุมคือ Dhirar  B. Al-Azwar ให้นำผ้าห่มให้แก่ Malik โดยใช้คำว่า Idfiu  Asrakum… คำว่า Idfiu นั้นในภาษาอาหรับ Kinanah แปลว่าจงฆ่า ส่วนในภาษาอาหรับทั่วไปนั้นคือ จงคลุมผ้าห่ม Dhirar เข้าใจว่า Khalid สั่งให้เขาฆ่า Malik จึงตัดสินใจฆ่า Malik ในค่ำคืนนั้น เมื่อเหตุการณ์นี้ทราบถึง Khalid ท่านก็มิได้ตกใจสะทกสะเทือนมากนัก แถมยังพูดว่า  นั้นคือ อะญัลของอัลลอฮฺ”  นอกจากนี้เป็นสิ่งที่ครหามากคือ Khalid ได้เอาภรรยาหม้ายของ Malik ที่ชื่อว่า Ummu Tamim bt Al-Minhal  เป็นภรรยาของตนเมื่อนางหมดอิดดะฮฺแล้ว  พฤติกรรมเช่นนี้ไม่เป็นที่พอใจแก่ Sahabah หลายท่าน เช่น Abu Qatadah Al-Haris B. Rab’iy และพรรคพวกชาวอันซอรฺหลายคน ออกจากกองทัพกลับมายัง Madinah เพื่อฟ้องร้องต่อท่าน Abu Bakr  ท่าน Umar B. Al-Khattab ซึ่งเป็นเลขาและที่ปรึกษา Abu Bakr ได้เสนอให้ Abu Bakr ถอน Khalid ออกจากการเป็นแม่ทัพโดยกล่าวว่า แท้จริงแล้วดาบของ Khalid นั้น เปื้อนกับสิ่งผิดประเวณี “  ด้วยความรอบคอบของท่าน Abu Bakr  และไม่ให้เกิดการแตกร้าวในกองทัพอิสลาม ซึ่งอยู่ในภาวะที่วิกฤตอยู่นั้น ท่านขอให้ Umar หยุดการตำหนิ Khalid และกล่าวว่า แท้จริงแล้ว ดาบที่อัลลอฮฺทรงกวักแกว่งฆ่าคน Kafir อยู่นั้น  ฉั นจะไม่ดึงมันมาเสียบเข้าปลอกเก็บไว้เป็นอันขาด”  ในที่สุดท่าน Khalid ได้ขอโทษต่อ  Abu Bakr ในความผิดพลาดทั้งหมดและขอขมาต่อครอบครัว Malik พร้อมกับจ่ายค่า Diyat

            ส่วนนาง Sajah ได้ยกทัพมายัง Yamamah เพื่อหาแนวร่วมกับเผ่า Hanifah ซึ่งมี Musaylamah เป็นผู้นำตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  การมาของ Sajah นั้น นับว่าเป็นโอกาสดีสำหรับ Musaylamah  ที่จะผนึกแนวร่วมเพื่อต่อต้านรัฐบาลอิสลามแห่ง Madinah ความสัมพันธ์ระหว่างนาง  Sajah กับ Musaylamah นั้น นักประวัติศาสตร์มี 3 รายงานที่แตกต่างกันดังนี้
1.             Musaylamah และ Sajah ได้ตกลงกันที่จะแบ่งอำนาจและเขตการปกครองพร้อมกับแบ่งผลผลิตและรายได้ในครอบครอง และในที่สุดทั้งสองได้แต่งงานกัน Sajah พำนักอยู่ที่ Yamamah จนกว่า Musaylamah ถูกทหารมุสลิมฆ่าตายในสมรภูมิ Aqraba’ แล้วนางก็หนีกลับไปยังเผ่า Taghlib
2.             ทั้งสองเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกันและต่อมาก็หย่ากัน  ส่วน Sajah  หนีกลับไปยังเผ่า Taghlib
3.             Musaylamah ได้ขอร้องให้นาง Sajah นำกองทัพมาเป็นแนวร่วมกับเขาเพื่อสร้างความเข้มแข็งในกองทัพ สามารถที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพมุสลิมได้ โดยเสนอเงื่อนไขที่จะยกให้ผลผลิตจากพืชผลครึ่งหนึ่งใน Yamamah ในปีนั้นและอีกครึ่งหนึ่งในปีถัดไป ให้แก่นาง  นักประวัติศาสตร์รายงานว่า เมื่อนางได้รับผลผลิตจากพืชผลครึ่งหนึ่งใน Yamamah แล้ว นางก็เดินทางกลับไปยังเผ่า Taghlib และทิ้งทหารเอกของนางไว้ที่นั่นเพื่อรอรับพืชผลอีกครึ่งหนึ่งในปีถัดไป

            นักวิเคราะห์ประวัติศาสตร์หลายท่านมีความเห็นว่า รายงานแรกนั้นไม่น่าจะตรงกับความเป็นจริง เพราะว่าในขณะที่กองทัพอิสลามทำสงครามกับกองทัพ Musaylamah ณ สมรภูมิ Aqraba’ นั้น นาง Sajah ไม่ได้อยู่ที่นั่น และไม่มีรายงานกล่าวถึงนางเลย ท่าน Tabari กล่าวว่า ในรายงานแรกนั้นไม่มีสายรายงานเว้นแต่สายรายงานจาก Saif  เท่านั้น ส่วนสายรายงานที่สองและสามนั้น มีสายรายงานมากและน่าเชื่อถือ ท่าน Prof. Mahayudin Hj. Yahya กล่าวว่า สายรายงานที่สามนั้นเหมาะสมและน่าสนใจที่สุด เพราะว่าในสายรายงานนี้ไม่ได้กล่าวถึงการแต่งงานของทั้งสองซึ่งทั้งสองมีลัทธิความเชื่อที่แตกต่างกัน  และ Musaylamah เสนอข้อต่อรองโดยใช้ผลผลิตและทรัพย์สินเป็นเครื่องล่อใจ Sajah ผู้หลงใหลในทรัพย์สินและอำนาจ เมื่อนางได้รับครึ่งหนึ่งจากผลผลิตของ Yamamah แล้ว นางก็เดินทางกลับไปยังเผ่า Taghlib ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นนางไม่ทันที่จะได้รับเพราะ  Musaylamah จบชีวิตเสียก่อน มีนักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่าทรัพย์สินที่ Musaylamah มอบให้นาง Sajah นั้นคือ ค่าสินสอดการแต่งงานของนาง

            นาง Sajah  กลับไปอยู่ในเผ่า Taghlib ไม่นานนางเข้ารับอิสลาม  ช่วงท้ายชีวิตของนางอาศัยอยู่ที่ Basrah และเสียชีวิตที่นั้นในสมัยของ Muawiyah ในปี ฮ..ที่ 55  ศพของนางนำละหมาดโดยข้าหลวง Basrah คือ Samrah B. Jandab

            Musaylamah Al-Kazzab

            Musaylamah มีชื่อจริงว่า Musaylamah B. Thumamah B. Kabir B. Habib มีสมญานามว่า Abu Tamamah จากเผ่า Hanifah เกิดและเติบโตที่ Jabliyah ใน Yamamah ในสมัยของท่านนบีในแค้วน Yamamah มีผู้นำที่มีชื่อเสียงหลายท่านด้วยกันเช่น Hawzah B. Ali, Thumamah B. Uthal, Salamah B. Hanzalah, Nahar Al-Rajjal B. Unfuwah และ Musaylamah.   Hawzah B. Ali เป็นตัวแทนของ Persia ในการดูแลความปลอดภัยของกองคาราวานพาณิชย์จากตอนเหนือของแค้วน Yaman ไปยัง Hirah ใน Persia ท่านเสียชีวิตในปี ฮ..ที่ 8[8]  และตำแหน่งของท่าน Thumamah รับช่วงต่อ ต่อมาตำแหน่งดังกล่าวตกอยู่ในมือของ Musaylamah ซึ่งเพิ่มอิทธิพลของเขาในเผ่า Hanifah มากขึ้น
            Musaylamah เคยเข้าพบท่านนบีพร้อมๆ กับตัวแทนของเผ่า Hanifah ในปี ฮ..ที่ 10 ซึ่งประกอบด้วย Thumamah B. Uthal [9],  Salamah B. Hanzalah  และ Nahar Al-Rajjal B. Unfuwah[10] ทั้งสามเข้ารับอิสลามยกเว้น Musaylamah ซึ่งไม่ยอมอ่อนน้อมต่อท่านนบี เขาประกาศตัวเองเป็น นบีท้าอำนาจกับท่านนบีมุหัมมัดในท้ายของปี ฮ..ที่ 10  เขาได้ส่งสาส์นถึงท่านนบีขอแบ่งอำนาจซึ่งมีใจความว่า
            “ จาก Musaylamah ศาสนทูตของอัลลอฮฺ ถึงมุหัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮฺ  แท้จริงแล้วฉันมีหุ้นส่วนกับเจ้าในการงาน (ความเป็นศาสดา) สำหรับฉันครึ่งหนึ่งของแผนดิน (อารเบีย) และสำหรับชาวกุร็อยซฺครึ่งหนึ่ง แต่ชาวกุร็อยซฺนั้นเป็นกลุ่มชนที่ละเมิดขอบเขต
            ท่านนบีได้ตอบสาส์นของ Musaylamah ซึ่งมีใจความว่า
            “ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตาและปรานีเสมอ จากมุหัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮฺ ถึง Musaylamah ผู้โกหก ความสันตินั้นสำหรับผู้ที่ดำรงอยู่ในทางนำ แท้จริงแล้วแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงมอบให้ใครก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบ่าวของพระองค์ ผลตอบแทนที่ดีนั้นสำหรับผู้ที่ยำเกรงเสมอ

            Musaylamah อ้างว่าตัวเองได้รับวะหฺยูจากพระเจ้าผู้มีนามว่า Ar-Rahman เขาได้สร้างดินแดนใน Yamamah เป็นดินแดนต้องห้าม (Haram) เหมือนกับดินแดนในมักกะฮฺและมะดีนะฮฺ มีการบัญญัติการละหมาด[11] และถือศีลอดคล้ายกับหลักคำสอนของอิสลามซึ่งเข้าใจว่า Musaylamah เรียนรู้หลักคำสอนอิสลามจาก Nahar Al-Rajjal ผู้เป็นมุรตัดและที่ปรึกษาฝ่ายศาสนาของ Musaylamah,  Nahar Al-Rajjal เคยเข้ารับอิสลามในปี ฮ..ที่ 10  เรียนรู้ศาสนาจากท่านนบีที่ Madinah และได้รับแต่งตั้งจากท่านนบีให้เป็นครูสอนศาสนาแก่ชาว Yamamah  เมื่อท่านศาสดาเสียชีวิต เขากลับกลายเป็นมุรตัดให้การสนับสนุน Musaylamah และนักประวัติศาสตร์บันทึกว่าเขาคือผู้สร้าง Fitnah ที่ยิ่งใหญ่โดยประกาศเป็นพยานว่าท่านศาสดามุหัมมัดยอมรับ Musaylamah เป็นนบีรอง  Musaylamah ได้แต่งตั้ง Abdullah B. Al-Nawwajah ทำหน้าที่เป็นผู้อ่านอะซานและแต่งตั้ง Hujayr B. Umayr ทำหน้าที่เป็นผู้อ่านอิกอมะฮฺ 

ชาว Yamamah ที่สนับสนุน Musaylamah ไม่ใช่ว่าทั้งหมดเชื่อว่าเขาเป็นนบีตามที่เขาอ้าง แต่เนื่องจากว่าความเป็นเผ่านิยม และความรู้สึกที่อคติและต่อต้านต่อเผ่ากุร็อยซฺ จึงยอมสนับสนุนเขาอย่างหลับหูหลับตา ทั้งนี้เราทราบจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ Abu Tulaihah (Talhah ?) Al-Namari[12] เข้าไปหา Musaylamah และถามว่า
ใครเป็นผู้ประทานวะหฺยูให้แก่ท่าน ?” 
Musaylamah ตอบว่า        พระเจ้าผู้มีนามว่า Ar-Rahman” 
Abu Tulaihah ถามต่อว่า   พระองค์ทรงประทานวะหฺยูในที่มืดหรือที่สว่าง ?”
Musaylamah ตอบว่า         “ ในที่มืด
Abu Tulaihah กล่าวว่า      ข้าขอเป็นพยานว่าคุณคือผู้โกหก และมุหัมมัดนั้นคือผู้สัจจะแต่ว่าสำหรับข้าแล้ว  ผู้โกหกจากเผ่า Rabi’ah เป็นที่ชื่นชอบแก่ข้ามากกว่าผู้สัจจะจากเผ่ามุฎัร (Quraisy)“  เขาได้ต่อสู้อยู่เคียงข้างฝ่าย Musaylamah จนถูกฆ่าตายในสมรถูมิ Aqraba’

W.M. Watt[13] กล่าวถึง Musaylamah ว่า “Musaylamah ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลมะดีนะฮฺ โดยอาศัยหลักการศาสนาและการเมือง เขาวางรากฐานทางศาสนาเพื่อสร้างรัฐอิสระใน Yamamah ที่ปราศจากอิทธิพลของ Persia, Byzentine และรัฐบาลอิสลามมะดีนะฮฺ

นักบูรพาคดีหลายท่านเช่น D.G. Margoliouth[14] และ D.F. Eickelman[15] พยายามอ้างว่า Musaylamah ได้ประกาศเป็นนบีก่อนที่ท่านนบีมุหัมมัดเป็นศาสดาเสียอีก อย่างไรก็ตามความคิดเหล่านี้ได้ถูกลบล้างโดย W.M. Watt ซึ่งอ้างจากหลักฐานประวัติศาสตร์อิสลามชั้นต้นว่า Musaylamah ประกาศเป็นนบีหลังจากตัวแทนของเผ่า Hanifah จาก Yamamah ซึ่งเขาก็อยู่ในคณะตัวแทนนั้นด้วย เข้าพบท่านนบี มุหัมมัดที่มะดีนะฮฺในปี ฮ..ที่ 10 

เมื่อท่านนบีเสียชีวิต[16]และท่าน Abu Bakr ขึ้นมาเป็น Khalifah ท่าน Abu Bakr  เห็นว่าภาวะการณ์ใน  Yamamah นั้นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐบาลอิสลามมะดีนะฮฺเป็นอย่างมาก ท่านจึงตัดสินใจส่งกองทัพหนึ่งนำโดย Ikrimah B. Abi Jahal[17] เป็นแม่ทัพเข้าไปในแค้วน Yamamah เพื่อปราบกลุ่ม Musaylamah และส่งกองทัพหนุนอีกกองหนึ่งนำโดย Syurahbil B. Hasanah[18] เข้าไปเสริมกำลังทัพ

            Ikrimah เชื่อมั่นในตัวเองมากและประเมินฝ่าย Musaylamah ต่ำเกินไป เขาได้บุกเปิดฉากสงครามกับกองทัพ Musaylamah ก่อนที่กองทัพหนุนจากมะดีนะฮฺนำโดย Syurahbil มาถึง  การรีบร้อนและเร่งรีบของ Ikrimah ทำให้เขาต้องปราชัยในสงครามครั้งนี้  เมื่อ Syurahbil ทราบข่าวการปราชัยของ Ikrimah ท่านก็หยุดทัพไว้กลางทางรอรับคำบัญชาจาก Khalifah  ส่วนที่มะดีนะฮฺเมื่อท่าน Abu Bakr รับสาส์นรายงานความปราชัยของ Ikrimah ท่านได้ตอบสาส์นนั้นพร้อมกับสั่งไว้ว่า
            “ ข้าไม่สามารถเห็นเจ้า และเจ้าก็ไม่สามารถเห็นข้า (คือไม่ทราบสถานการณ์ซึ่งกันและกันเจ้าอย่าทำลายกำลังใจพลทหารโดยการถอนทัพกลับมายังมะดีนะฮฺ  จึงนำทัพไปร่วมกับกองกำลังของ Huzaifah B. Mihsan และกองกำลังของ Arfajah B. Harthamah เพื่อปราบกบฎใน Oman และ Mahrah เมื่อสามารถกู้สถานการณ์ที่นั้นได้แล้ว จงเดินทัพไปเรื่อยๆ ยัง Yaman และ Hadramaut เพื่อร่วมกับกองทัพ Al-Muhajir  B. Abi Umayyah ที่นั้น

            ส่วน Syarahbil ก็ได้รับคำสั่งให้รอกองทัพของ Khalid ที่กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ เสร็จแล้วให้เคลื่อนทัพไปยังเผ่า Qudha’ah เพื่อหนุนกำลังทัพของ Amr B. Al-As ต่อ  ขณะนั้นกองกำลังของ Khalid ตั้งแคมป์อยู่ที่  Al-Butah  เมื่อได้รับคำสั่ง Khalid ก็เคลื่อนทัพไปยัง  Yamamah ทันที่ พร้อมกับกองพลเสริมเพิ่มเติมที่ส่งจากมะดีนะฮฺซึ่งประกอบด้วยสาวกอาวุโส  ที่มีอีมานที่เข้มแข็งและเคร่ง ครัดในศาสนาตามคำเรียกร้องของ Khalid  โดยมี Sabit B. Qays เป็นผู้นำชาว Ansar และ Abu Kuzafah กับ Zaid B. Al-Khattab เป็นผู้นำชาว Muhajir

            การเคลื่อนทัพมาของ Khalid ทราบถึง Musaylamah เขาได้นำทัพที่มหึมามาตรึงไว้ที่ทุ่ง Aqraba’  ระหว่างทางใกล้จะถึง Aqraba’ กองทัพของ Khalid  ถูกรบกวนด้วยกองกำลังแนวหน้าของ Musaylamah ซึ่งมีจำนวนพลประมาณ 40-60 คน เข้ามาจู่โจม  อย่างไรก็ตามกองกำลังเล็กน้อยดังกล่าวไม่อาจสร้างความสะทบสะเทือนแก่กองทัพ Khalid ได้ กองทัพอิสลามเข้าบดขยี้และสังหารกองกำลังดังกล่าวอย่างสิ้นซาก ยกเว้น Majja’ah ผู้เป็นหัวหน้าที่ถูกไว้ชีวิตไว้ ทั้งนี้เพราะเขาเป็นผู้มีเกียรติและอิทธิพลคนหนึ่งในเผ่า Hanifah
             เมื่อสองกองทัพมาเผชิญหน้ากัน ณ ทุ่ง Aqraba’ แม่ทัพ Khalid ได้จัดแถวทัพเตรียมความพร้อมในการเปิดฉากสงคราม ท่านได้มอบธงของฝ่าย Muhajirin แก่  Abdullah b. Hafs b. Ghanim เมื่อเขาเสียชีวิตก็มอบธงดังกล่าวให้แก่ Salim  ทาสของ  Khuzayfah ต่อ  ส่วนธงของฝ่าย Ansar ท่านได้มอบให้แก่ Sabit b. Qays   ฝ่ายกองกำลังของ  Musaylamah  ก็จัดเตรียมความพร้อมไม่แพ้กับกองทัพอิสลามเช่นกัน  พวกเขาได้รวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดและเหล่าสตรีของพวกเขาไว้หลังกองทัพ และ Sharahbil ผู้เป็นลูกชายของ Musaylamah ลุกขึ้นมาปราศรัยไว้ว่า
            “ โอ้ บรรดาชาวเผ่า Hanif เอ๋ย จงต่อสู้ วันนี้เป็นวันชี้ขาดชะตาของพวกเจ้า หากเจ้าแพ้ในวันนี้  ทรัพย์ของเจ้าจะถูกกวาดต้อนหมด เหล่าสตรีของพวกเจ้าจะกลายเป็นเชลยและถูกนำเป็นภรรยาของพวกเขาในที่สุด ดังนั้น เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของเรา จงต่อสู้และปกป้องเหล่าสตรีของเรา

            สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือด นักประวัติศาสตร์รายงานว่า ในประวัติศาสตร์อารเบียไม่เคยมีสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างเผ่าอาหรับด้วยกัน ที่ดุเดือดเหมือนกับสงครามในครั้งนี้  ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรบผลัดกันรับ ซึ่งในช่วงแรกกองกำลังของ Musaylamah สามารถบุกจู่โจมกองทัพอิสลามเข้ามาถึงเต็นท์บัญชาการของแม่ทัพ Khalid ที่เดียว  กองทัพอิสลามถึงกับต้องถอยร่นแตกแถวกระจัดกระจายไป  สาวกอาวุโสหลายท่านต้องตะโกนเรียกพลทหารอิสลามรวมตัวอีกครั้งหนึ่ง   Zaid B. Al-Khattab ได้ลุกขึ้นและตะโกนว่า
ถ้าคุณเป็นชายอกสามศอกแล้วก็ จงอย่าหนีทัพ  ข้าขอสาบานต่ออัลลอฮฺวันนี้ข้าจะเป็นใบ้ จนกว่ากองทัพของศัตรูจะแตกพ่ายไป หรือข้าล้มลงเป็น Syahid”  และท่านพูดต่ออีกว่า
พวกเจ้าอย่าลังเลใจ มองซ้าย มองขวาเลย จงกัดฟันต่อสู้…. โอ้ มวลมนุษย์เอ๋ยจงมุ่งหน้าจู่โจมศัตรูของเจ้า
Abu Khuzaifah ก็ลุกขึ้นเพิ่มกำลังใจแก่กองทัพอิสลามว่า
โอ้ชาวอัลกุรอาน…. จงตกแต่งพฤติกรรมของเจ้าด้วยอัลกุรอาน

แม่ทัพ khalid สามารถรวบรวมพลทหารได้อีกครั้งหนึ่ง และได้วางแผนกลยุทธ์สงครามใหม่
ท่านได้แบ่งทัพเป็นกองเล็กๆ เพื่อเคลื่อนทัพเข้าโจมตีและถอยรับข้าศึกได้ง่าย พลทหารทุกท่านต่างก็ให้คำมั่นสัญญาซึ่งกันและกัน ที่จะไม่แตกแถวหนีทัพอีกต่อไป เพราะนั้นคือเป็นสิ่งที่น่าละอายมาก นักประวัติศาสตร์รายงานว่า ท่าน Salim ทาสของ Kuzaifah  เพื่อไม่ให้กองทัพอิสลามถอยร่น ในขณะที่ท่านถือธงสงครามนั้น  ท่านได้ฝังขาตนเองลงไปในดินถึงหัวเข่า ท่านก็ถูกฆ่าเป็นซะฮีดในที่สุด  ท่าน Zaid B. Al-Khattab ก็เช่นกัน บุกเข้าจู่โจมเข้าไปในกองทัพศัตรูอย่างบ้าคลั่ง และท่านก็เป็นซะฮีดในที่สุด และมีสาวกอีกหลายท่านที่แสดงความเป็นวีระบุรุษในสมรภูมิครั้งนี้

            ท่าน Khalid รู้ดีว่า สงครามนี้ไม่อาจยุติได้ถ้าหากไม่สามารถปลดชีวิต Musaylamah ได้ ท่านได้สั่งให้พลทหารหาญมุสลิมรุกเข้าไปในกองทัพศัตรู เพื่อสร้างความอลหม่านให้แก่ศัตรู และในขณะเดียวกัน Khalid ก็ได้ท้าประดาบต่อสู้ตัวต่อตัวกับ Musaylamah เริ่มแรกนั้น Musaylamah ยินดีตอบรับ แต่ถูก ไซตอนเป่าหูไม่ให้รับคำท้านั้น เพราะไซตอนรู้ดีว่า Musaylamah ไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมดาบของ khalid อย่างแน่นอน  เขาหนีจากคำท้านั้น พอเห็นจังหวะได้เปรียบ Khalid สั่งให้กองทัพ   อิสลามบุกตะลุยตีข้าศึกอย่างเต็มที่  จนกองทัพ Musaylamah ไม่สามารถต้านความกดดันได้  Al-Muhakkam ผู้เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของ Musaylamah ตะโกนประกาศให้พลทหารทุกคนถอยทัพเข้าไปในสวนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกำแพงป้อมปรานลอมรอบอยู่พร้อมกับปิดประตูอย่างมิดชิด กองทัพอิสลามบุกถึงหน้าป้อมปราการนั้น แต่ไม่อาจเข้าไปได้ ด้วยความกล้าหาญของสาวกท่านหนึ่งชื่อว่า Bara’ B. Malik ได้เสี่ยงชีวิตปีนกำแพงป้อมสำเร็จและเปิดประตูให้กองทัพอิสลามบุกเข้ามาในป้อม เมื่อกองทัพอิสลามสามารถเข้าในป้อมได้แล้ว ก็จัดการปิดประตูอย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้แม้แต่ชีวิตเดียวหนีรอดออกมาได้  สองกองทัพต่อสู้อย่างดุเดือดและห้าวหาญในป้อมแคบๆ นั้น อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง จุดนี้ทำให้พลทหารของ Musaylamah ลมตายไประเนระนาดเป็นจำนวนมาก  Musaylamah เองถูก Wahsyi[19] และชาว Ansar ท่านหนึ่งร่วมกันฆ่าตาย ในป้อมนั้นไม่มีทหารของ Musaylamah ผู้ใดรอดชีวิตได้ ยกเว้นเด็กๆ สตรีและคนชรา กองทัพอิสลามได้รับทรัพย์สินสงครามเป็นจำนวนมาก   

            ผลของสงครามครั้งนี้นักประวัติศาสตร์บันทึกว่า พลทหารมุสลิมเสียชีวิตเป็นซะฮีดถึง 660 คน เป็นชาวมะดีนะฮฺและผู้ที่อาศัยในมะดีนะฮฺ  360 คน และอื่นๆ อีก 300 คน โดยเฉพาะอย่างมุสลิมต้องสูญเสียสาวกอาวุโสที่ท่องจำอัลกุรอานหลายท่านด้วยกัน จนส่งผลต้องรวบรวมอัลกุรอานเป็นเล่ม เพื่อไม่ให้อัลกุรอานสูญหายไปพร้อมๆ กับการเสียชีวิตของสาวก ส่วนจำนวนพลของ Musaylamah ที่สังเวยชีวิตในสงครามครั้งนี้รวมแล้วสูงถึง 14,000 คน  เสียชีวิตในสมรภูมิ Aqraba’ 7,000 คน และในสวนป้อม 7,000 คน จนสวนป้อมดังกล่าวนั้นได้ชื่อว่า Hadiqatu’l-Maut (สวนแห่งความตาย)  


[1]  Dhirar B. Azwar B. Avs  จากเผ่า Asad เช่นกัน ท่านเป็นนักรบที่เก่งกาจท่านหนึ่งในสมัยญะฮีลียะฮฺและสมัยอิสลาม  เข้าร่วมญิฮาด ในสงคราม Al-Yamamah  สงคราม Yarmuk และสงครามพิชิต Syria ท่านเสียแขนทั้งสองข้างในสงครามพิชิต Syria และไม่กี่วันหลังจากนั้นท่านทนจากบาดแผลไม่ได้และเสียชีวิตในที่สุด
[2]  ชื่อจริงคือ Abu Sulayman มีสมญานามว่า ดาบของอัลลอฮฺ (Sayfu’l-lah) เข้ารับอิสลามในปี ฮ..ที่ 7 เคยเป็นแม่ทัพนำทัพเข้าพิชิตอีรักและSyria เสียชีวิตในปี ฮ..ที่ 21
[3]  เป็นแหล่งน้ำของเผ่า Tayy ซึ่ง Tulayhah นำกองทัพตั้งมั่นอยู่ที่นั้น
[4]  จากเผ่า Tayy เป็นผู้มีบารมีและมีเกียรติ์มากในเผ่าของตนเอง อดีตเป็นคริสต์ เข้ารับอิสลามในปี ฮ.. ที่ 9  ท่านยึดมั่นในอิสลามในขณะที่คนในเผ่าของเขาส่วนใหญ่เป็นมุรตัด  ในขณะที่ท่านนบีเสียชีวิตนั้นท่านอาศัยอยู่ใน Madinah ท่านเสียชีวิตในปี ฮ..ที่ 67
[5] ท่านเป็นหัวหน้าเผ่า Fazarah และนำคนในเผ่าของตนจำนวน 700 คน เข้ามาสมทบกองทัพ Tulayhah
[6] เป็นหัวหน้าเผ่า Tamim แขนง Yarbu’
[7] เป็นหัวหน้าเผ่า Tamim แขนง Malik B. Hanzalah
[8]  ท่านเสียชีวิตในภาวะเป็นคริสต์ยังไม่เป็นมุสลิม
[9]  มีสมญานามว่า Abu Umamah  เข้ารับอิสลามพร้อมๆ กับคนในเผ่า Hanifah รับอิสลามในปี ฮ..ที่ 10  ในสมัย Abu Bakr ท่านยังยึดมั่นกับอิสลามในขณะที่คนในเผ่า Hanifah ส่วนใหญ่เป็นมุรตัด ท่านเข้าร่วมกองทัพอิสลามเพื่อปราบกลุ่มมุรตัดในเผ่าตัวเองใน Yamamah และเข้าร่วมในกองทัพ Al-Ala’ B. Al-Hadhrami       ไปปราบกลุ่มมุรตัดที่ Bahrain และเสียชีวิต (Syahid) ที่นั้น
[10] เข้ารับอิสลามในปี ฮ..ที่ 10  เรียนรู้ศาสนาจากท่านนบีที่ Madinah และได้รับแต่งตั้งจากท่านนบีให้เป็นครูสอนศาสนาแก่ชาว Yamamah  ต่อมาเมื่อท่านนบีเสียชีวิต เขากลับเป็นมุรตัดให้การสนับสนุน Musaylamah และนักประวัติศาสตร์บันทึกว่าเขาคือผู้สร้าง Fitnah ที่ยิ่งใหญ่โดยประกาศเป็นพยานว่าท่านนบีมุหัมมัดยอมรับ Musaylamah เป็นนบีรอง และเขาเป็นที่ปรึกษาของ Musaylamah ในเรื่องศาสนา
[11]  มีการละหมาด 3 เวลาต่อวันโดยยกเว้นละหมาดอิซาและซุบฮฺ
[12]  ชื่อจริงว่า  Khulaid B. Zufar Al-Namari
[13] นักบูรพาคดีที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ซึ่งมีงานเขียนที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านนบี 2 เล่ม คือ Muhammad at Macca และ Muhammad at Medina
[14]  บทความชื่อว่า On the Origin and Import of the Names Muslim and Hanif ในวารสาร Journal of Royal Asiatic Society , 1903: 485
[15]  บทความชื่อว่า Musaylima, an Approach to the Social Anthropology of 7th Century Arabia ในวารสาร Journal of Economic and Social History of Orient, 1967 : 35
[16] ท่านนบีเสียโดยไม่ทันที่จะส่งกองทัพไปปราบ Musaylamah
[17]  ท่านเป็นผู้ที่อยู่แนวหน้าในเผ่ากุร็อยซฺทั้งในสมัยญาฮิลิยะฮฺและสมัยอิสลาม ท่านเข้ารับอิสลามหลังจากสงครามพิชิตมักกะฮฺ เป็นผู้ยึดมั่นในอิสลาม เข้าร่วมสงคราม Yarmuk และเสียชีวิตในปี ฮ.. ที่ 13
[18]  Syrahbil B. Hasanah Al-Kendi Halif B. Zahrah เป็นสาวกอาวุโสท่านหนึ่ง Hasanah เป็นมารดาของท่าน ส่วนบิดาของท่านชื่อว่า Qasim B. Abdullah               ท่านเข้ารับอิสลามในสมัยมักกะฮฺอีก  เคยอพยพไปยัง Habasyah เคยเป็นทูตของท่านนบีส่งไปยังอียิปต์ เคยเป็นแม่ทัพนำทัพพิชิตซีเรีย เสียชีวิตในปี ฮ..ที่ 18  
[19]  อดีตทาสของ Jubayr B. Mut’im และเป็นมือสังหารท่าน Hamzah ในสมรภูมิ Uhud

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น