โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ
14. การสิ้นสุดระบบคอลีฟะฮ์ผู้ทรงคุณธรรม
การสละตำแหน่งของฮะซัน
นับจากวันแรกที่ท่านอาลีก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง ท่านอาลีก็ต้องเผชิญกับการท้าท้ายอำนาจทางการเมืองของตนแล้วเพราะมุอาวิยะฮถือว่าตัวเองเป็นทายาททางการเมืองที่ถูกต้องของคอลีฟะฮ์อุษมานเหมือนกันและยังปรารถนาที่จะแก้แค้นให้แก่คอลีฟะฮ์ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย เมื่อเวลาผ่านไป มุอาวิยะฮก็มีฐานนะมั่งคงเข้มแข็งขึ้นสามารถช่วงชิงดินแดนส่วนใหญ่มาได้จาก ท่านอาลี ในตอนที่ท่านอาลีจบชีวิตลงนั้นมุอาวิยะฮเป็นผู้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของโลกมุสลิมเอาไว้และเตรียมตัวที่จะสถาปนาตัวเองเป็นคอลีฟะฮ์ฮย่างเป็นทางการด้วยและเวลานั้นอิรักและอิหร่านเป็นเพียงเมือง หนึ่งซึ่งภักดี ต่อท่านอาลีเพียงที่ริมฝีปากเท่านั้น
หลังจากที่ท่านอาลีสิ้นชีวิตลงไปแล้วฮะซันลูกชายคนโตของท่านอาลีก็ก้าวขึ้นมาสืบตำแหน่งต่อ กองทหารของมุอาวิยะฮจึงยาตราไปยังอิรักและสามารถเอาชนะคนของฮะซันได้โดยง่าย ฮะซันเป็นคนที่รักสันติและรู้ว่าคนอิรักนั้นเชื่อไม่ได้ ฮะซันเรียนรู้บทเรียนนี้มาตั้งแต่สมัยพ่อของตนแล้ว และก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรดีขึ้น ดังนั้นฮะซันจึงตัดสินใจทำสัญญาสันติภาพกับมุอาวิยะฮ
เมื่อได้ที่มุอาวิยะฮก็ขี่แพะไล่ด้วยการใช้กำลังที่มากกว่าและสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยบีบฮะซัน แต่มุอาวิยะฮก็คิดว่ามันไม่เป็นการฉลาดนักถ้าจะบีบฮะซันหนักจนเกินไปมุอาวิยะฮจึงส่งสาสน์ไปยังฮะซันว่า
“โดยความเคร่งครัดและศีลธรรมอันสูงส่ง ท่านมีสิทธิในตำแหน่งคอลีฟะฮ์อย่างไม่มีปัญหา ถ้าหากข้าพเจ้าเพียงแต่สามารถเชื่อได้ว่าท่านจะบริหารบ้านเมืองไปได้อย่างสงบ และสามารถป้องกันประชาชนให้พ้นจากภยันตรายต่างๆได้ ข้าพเจ้าก็จะเป็นคนแรกที่ให้สัตยาสาบานสวามิภักดิ์ต่อท่าน แต่สถานการณ์ปัจจุบันต้องการให้ท่านสละตำแห่นงคอลีฟะฮ์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะให้ท่านในสิ่งที่ ท่านเรียกร้องเป็นการตอบแทน”
สาสน์ดังกล่าวมีกระดาษเปล่าประทับตราของมุอาวิยะฮแนบมาด้วย ฮะซันถูกขอร้องให้เขียนอะไรก็ได้ในสิ่งที่ต้องการฮะซันพอใจกับสาสน์ดังกล่าว ท่านจึงได้สละบังลังก์ เปิดทางให้มุอาวิยะฮโดยเรียกร้องเงินทดแทนให้แก่ตนเองและวงศาคณาญาติจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วก็ขอให้มุอาวิยะฮนิรโทษกรรมคนอิรักด้วยซึ่งมุอาวิยะฮก็ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวโดยทันที่
ท่านนบี
ได้กล่าวว่าการปกครองโดยคอลีฟะฮ์ จะมีระยะเวลาประมาณสามสิบปี หลังจากนั้นฮะซันได้ยอมสละอำนาจให้มุอาวิยะฮในเดือนเราะบีอุลเอาวัล ฮ.ศ.41 / กรกฎาคม ค.ศ. 661 ซึ่งเป็นตอนปลายปีที่สามสิบหลังจากการสิ้นชีวิตของท่านนบี
มุอาวิยะฮได้ขอให้ฮะซันบอกประชาชนหลังจากการสละอำนาจ ฮะซันได้กล่าวว่า


“พวกท่านทั้งหลายในตอนแรก อัลลอฮ I ได้ส่งประทานทางนำแก่พวกท่านผ่านบรรพบุรุษของเราและทรงช่วยพวกท่านจากการหลั่งเลือดจากลูกหลานของคนเหล่านั้น อัลลอฮ I ได้ทรงกำหนดระยะเวลาสำหรับมันแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากการขึ้นๆลงๆ ของโชคชะตาขึ้นสำหรับคนหนึ่งและลงสำหรับอีกคนหนึ่ง จงจำไว้ว่าอัลลอฮ I ได้ทรงบอกนบีของพระองค์ให้บอกพวกท่านว่า “ฉันไม่รู้ว่ามันอาจจะเป็นการทดสอบสำหรับพวกท่านและเป็นการสนุกสนามชั่วฤดูหนึ่ง”
(อัลกุรอาน 21: 111)
คำพูดสั้นๆแต่มีความหมายนี้มุอาวิยะฮถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถขจัดออกไปจากจิตใจเขามาเป็นเวลานานแล้ว
ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อ อบูอามิร ได้กล่าวกับฮะซันว่า “สันติจงมีแด่ท่าน คนที่ทำให้มุสลิมขายหน้า” ไม่ยอมเป็นศัตรูกับพวกซีเรีย ฮะซันได้ตอบว่า “ไม่เลย อบูอามิร ฉันไม่ได้ทำให้มุสลิมอับอายขายหน้า ฉันเพียงแต่ไม่ชอบที่จะมีการหลั่งเลือดเพื่อเห็นแก่การปกครองของฉัน
หลังจากที่สละอำนาจแล้วฮะซันก็ใช้ชีวิตอยู่กับฮุเซนน้องชายของเขาและสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวที่นครมะดีนะฮ เมื่อใดก็ตามที่เขาผ่านบริเวณที่อยู่อาศัยของคนที่เป็นพวกเขาและสนับสนุนเขา คนเหล่านั้นจะกล่าวถ้อยคำถากถางเขาที่สละอำนาจให้แก่มุอาวิยะฮ แต่เนื่องจากเป็นคนที่ไว้เกียรติของตัวเองและใจกว้าง เขาจึงไม่เคยตอบกลับและไม่เคยเสียใจในสิ่งที่เขาได้ทำไป แต่เขาจะรู้สึกพอใจในการตัดสินใจของเขามากกว่าถึงแม้จะมีคนในตระกูลของเขาบางคนไม่พอใจก็ตาม ความจริงแล้ววิธีการของฮะซันเป็นสิ่งที่เหมาะสมและยังคงเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่อาจจะต้องตกอยู่ในที่นั่งเช่นเดียวกับเขา เขาสมควรที่จะได้รับคำยกย่องสำหรับการป้องกันการนองเลือดของมุสลิมดังที่ท่านนบี
ได้กล่าวล่วงหน้าไว้”

บ่อยครั้งที่คนที่เคยสนับสนุนเขาเคยตะโกนเรียกเขาโดยกล่าวว่า “ความขายหน้าของบรรดาผู้ศรัทธา” ฮะซันมักจะตอบคนเหล่านั้นว่า “ขายหน้าก็ดีกว่าไฟนรก”
อะบูดาวูด ติยาลซีเล่าจากซุฮัยร บิน นุฟัยร์ อัลฮัฎรอมีผู้ได้ยินพ่อของเขาเล่าว่า “ฉันได้กล่าวกับฮะซัน บิน อาลีว่าคนคิดว่าท่านยังต้องการเป็นคอลีฟะฮ์ ” เขาตอบว่า “ฉันเป็นผู้นำชาวอาหรับ พวกเขาน่าจะสร้างสันติภาพหรือทำสงครามกับคนที่ฉันสร้างสันติภาพหรือสงครามด้วยแต่ฉันได้สละอำนาจเหล่านั้นแล้วเพื่อความโปรดปรานของอัลลอฮ I จะให้ฉันจุดไฟเผาเพื่อนบ้านของฮิญาซอีกกระนั้นหรือ” ในอีกครั้งหนึ่งเขาได้กล่าวว่า “ฉันกลัวว่าคนเจ็ดหรือแปดหมื่นคนหรือในราวนั้นอาจจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าฉันในวันตัดสินในสภาพที่มีเลือดไหลโชกและพวกเขาอาจจะร้องทุกข์ต่ออัลลอฮI เกี่ยวกับฉัน”
ความจริงแล้ววิธีการของฮะซันเป็นสิ่งที่เหมาะสมและยังคงเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่อาจจะต้องตกอยู่ในที่นั่งเช่นเดียวกับเขา
ท่านฮะซันได้รับเลือกให้เป็นเคาะลีฟะฮแทนท่านอาลีพ่อของเขา ใน ฮ.ศ.41/ค.ศ.661 เขาได้ทำสัญญาสันติภาพกับมุอาวิยะฮในเดือน เราะบีอุลเ อาวัล ฮ.ศ.41/ กรกฎาคม ค.ศ.661 ซึ่งเป็นปีที่เรียกว่า “อามุล-ญัมอาฮฺ” เขาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์เป็นเวลา 6 เดือน การปกครองด้วยคอลีฟะฮ์ก็เป็นอันสิ้นสุดลงหลังจากที่ครบสามสิบปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น