โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ
2. การยึดครองดินแดนสมัยท่านคอลีฟะฮฺอุมัร
2.1 ความเคลื่อนไหวในทางทหารและการเผยแพร่อิสลาม
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเท้าความถึงการปกครองในสมัยของท่านท่านคอลีฟะฮฺอบูบักรฺ ว่าท่านได้ประสบความสำเร็จในการกอบกู้เสถียรภาพของรัฐอิสลามให้มีความเป็นภารดรภาพ และมีความสามัคคีกันในหมู่มุสลิม และท่านมีความตั้งใจอันแน่วแน่ต่ออิสลาม ทำให้ท่านต้องส่งสาส์นไปยังพระราชาและผู้นำเผ่าต่างๆ ให้เข้าสู่การศรัทธาในอัล-อิสลามตามแบบอย่างที่ ท่านรอซูลr ได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่างไว้แล้ว ในเวลาที่ท่านคอลีฟะฮฺอบูบักรฺ สิ้นชีวิตนั้น กองทัพมุสลิมได้ยาตราเข้าสู่ชายแดนของสองมหาอาณาจักรคือ อาณาจักรเปอร์เซียและอาณาจักรโรมันตะวันออก ( ไบเซนไตน์ ) ท่า คอลิฟะฮฺอุมัรได้สานหน้าที่ดังกล่าวต่อไป ท่านสามารถขยายดินแดนให้กว้างขวางออกไปทั้งด้านตะวันออก ตะวันตก และด้านอุตระประเทศ ท่านเป็นคอลิฟะฮ์ท่านแรกที่ประสบความสำเร็จในการขยายอาณาจักรอิสลามให้กว้างขวางออกไป และท่านเป็นคอลิฟะฮฺท่านแรกที่ได้ปลดปล่อยซีเรีย ปาเลสไตน์ จอร์แดนและอียิปต์ให้พ้นจากการยึดครองของจักรพรรดิแห่งเปอร์เซียและโรมันตะวันออก “ ท่านเป็นบิดาแห่งการปลดปล่อยโลกอาหรับให้พ้นจากอำนาจต่างชาติจากภายนอกประเทศ ”
ในขณะเดียวกันก็ควรจะทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่าอิสลามมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายดินแดนหรือยึดอำนาจจากผู้นำประเทศหรือผู้นำเผ่าต่าง ๆ ออกไปเพื่อเผยแพร่ศาสนาของพระเจ้า เพื่อที่มนุษยชาติจะได้มีโอกาสรับแสงธรรมของอิสลามเป็นที่ยึดเหนี่ยว และศรัทธาต่ออัลอิสลามต่อไป ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ที่เขาควรจะได้รับทั้งโลกนี้และโลกอาคีเราะฮ์ แผนการในการที่จะนำทัพเข้ายึดครองของท่านคอลีฟะฮฺอุมัรมีหลายแห่ง ดังนี้
2.2 สงครามกับอาณาจักรโรมัน
ตามที่ทราบกันดีแล้วว่าในขณะที่คอลิด บุตรวะลีด เป็นจอมทัพนำทัพมุสลิมเข้าสู่ศึกอย่างดุเดือดในสมรภูมิยัรมูค ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างบัสเราะฮฺ และดามัสกัสนั้น จอมทัพคอลิด ได้ทราบถึงการสิ้นชีพของท่านคอลีฟะฮฺ อบูบักร และท่านคอลีฟะฮฺ อุมัรบุตรค็ฏฏ็อบได้สืบทอดตำแหน่งแทน จากนั้นท่านคอลิฟะฮฺ อุมัร ก็ได้ปลด คอลิดออกจากตำแหน่งจอมทัพ แต่ขุนพลคอลิด ก็ได้ทำหน้าที่ของตนต่อไปอย่างบริสุทธิ์ใจต่อไป ภายใต้การนำของอบูอุบัยดะฮฺ แม่ทัพคนใหม่ จนกระทั่งงานที่ได้รับมอบหมายประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ฝ่ายข้าศึกลี้ภัยถึง 120,00 นายนั้น ครึ่งหนึ่งได้ถูกฆ่าตายในสนามรบ สำหรับฝ่ายมุสลิมตายชะฮีดในสนามรบ 3,000 คนเท่านั้น หลังจากชัยชนะในศึกยัรมูกแล้วทัพมุสลิมก็มุ่งหน้าไปยังดามัสกัสต่อไป แล้วเข้าล้อมเมืองอยู่หลายเดือนจนถึงปี ฮ.ศ. 14 ( ค.ศ. 639 ) เจ้าเมืองดามัสกัสก็ยอมเจรจาขอสงบศึก
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทัพมุสลิมจึงแบ่งออกเป็น 2 กองทัพ ทัพแรกมีอบูอุบัยดะฮฺเป็นแม่ทัพ และมีคอลิดอยู่ในกองนี้ด้วย อีกกองทัพหนึ่งมีอัมร บุตรอัลอาส เป็นแม่ทัพ และมีชุฮฺรอบิลอยู่ในกองทัพด้วย ทัพแรกมุ่งหน้าไปยังทางเหนือ ทัพหลังมุ่งไปยังทิศใต้ และได้มอบให้ยะซีด บุตรอบีซุฟยาน ควบคุมสถานการณ์ในดามัสกัส มีตำแหน่งเป็นข้าหลวงนครดามัสกัส อบูอุบัยดะฮฺ ได้เข้ายึดเมือง ฮิมมัส ( โฮมส์ ) กินิซิริน และอาเล็ปโป ( Aleppo ) จนถึงเอเชียน้อย และอาเมเนียร์ ส่วนอัมร บุตรอัลอาส ก็สามารถยึดครองอักกาอ ไฮฟา ยัฟฟา ก็อซซะฮฺ และเมืองอื่นๆ ในขณะเดียวกัน ยะซีด บุตรอบีซุฟยานสามารถตีเบรุต ยูบัยตฺและซัย ( ซัยดอน) ได้ ทำให้ดินแดนซีเรียทั้งหมดต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม
เวลานั้น ยังคงเหลือเยรูซาเล็มเท่านั้นที่ยังไม่ถูกยึดครอง ทัพของอัมร ได้ปะทะกับทัพไบแซนไตน์ที่อัจนาดีน ซึ่งห่างจากเยรูซาเล็มไม่ไกลนัก ในที่สุดกองทัพมุสลิมได้รับชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายมุสลิมจึงได้ส่งสาส์นไปยังผู้ครองนครเยรูซาเล็ม เพื่อเชิญชวนให้ยอมรับอิสลาม แต่เจ้านครไม่ยอมจึงถูกทัพมุสลิมล้อมอยู่ 4 เดือนจึงยอมจำนน แต่เจ้านครเยรูซาเล็มได้ขอร้องให้ท่านคอลิฟะฮฺอุมรเดินทางไปเอง ในการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีครั้งนี้ได้ขอให้ซอฟรอนิอุสเป็นผู้เขียนสาส์น เมื่อทราบว่าท่านคอลิฟะฮฺอุมัร จะเดินทางมาเอง อัรตาฟองต์เจ้าเมืองแห่งนครปาเลสไตน์ก็ได้หนีไปยังอียิปต์ ท่านคอลิฟะฮฺอุมัรเมื่อเดินทางมาถึงนคร เยรูซาเล็มก็ได้ลงนามสนธิสัญญาสงบศึก ฝ่ายไบแซนไตน์จะต้องส่งส่วยภาษีอากรประจำปีแก่มุสลิมใน ฮ.ศ.15 ตรงกับ ( ค.ศ.637 )
2.3 สงครามกับอาณาจักรเปอร์เซีย
การเผยแพร่อิสลามด้านตะวันออก มุสลิมต้องเข้าสู่สมรภูมิถึง 4 ครั้ง คือ
1. ศึกสะพาน
การปะทะกันของกองทัพทั้ง 2 ฝ่าย คือ มุสลิมและเปอร์เซียเกิดขึ้นเหนือแม่น้ำยูเฟรติสในฮิจญฺเราะฮ์ที่ 14 หลังจากที่ขุนพล คอลิด บุตร อัล-วะลีด ได้รับคำสั่งจากท่านเคาะลีฟะฮ์อบูบักรให้นำทหารส่วนหนึ่งมุงสู่ด้านตะวันตก แม่ทัพมุษันนา บุตร ฮาริษะ กำลังคุมเชิงอยู่ที่อิรักได้ขอกำลังเพิ่ม แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะท่านคอลีฟะฮฺอบูบักรฺสิ้นชีพเสียก่อนหลังจากที่ได้รับข่าวนี้ไม่กี่วัน ท่านคอลีฟะฮฺอุมัรจึงได้รีบส่งทหารไปเสริมโดยมอบหมายให้ท่านอุบัยดะฮฺ บุตร มัสอูดอัษษะกอฟีเป็นแม่ทัพ กองทัพมุสลิมได้ปะทะกับทัพเปอร์เซียบนสะพานยูเฟรติส ในการศึกครั้งนี้แม่ทัพคนสำคัญหลายคนถูกฆ่าตายเป็นชะฮีดพร้อมกับการสูญเสียกำลังทหารไปอีก 4,000 คน ทั้งนี้เพราะความประมาทไม่รอบคอบนั่นเอง แต่การสู้รบที่อัล-อุซัยบฺใกล้เมืองกูฟะฮฺกองทัพมุสลิมภายใต้การนำทัพของมุษันนา และ ยาซิรบุตรอับดุลลอฮฺได้รับชัยชนะอย่างงดงาม ในฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 15 นอกจากขุนพลมุษันนาได้รุกคืบหน้าต่อไปอีกด้วยการยึดครองดินแดนอีกหลายแห่งในการรบที่อัล-อุซัยบฺ ฝ่ายเปอร์เซียต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมากและแม่ทัพมะฮฺรอนถูกฆ่าตายในที่รบ
2. ศึกอัล-กอดิซียะฮฺ
ศึกอัล-กอดิซียะฮฺเกิดขึ้นในฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 16 ที่ฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ระหว่างกองทัพมุสลิมภายใต้การนำของขุนพลสะอดฺ บุตร อบีวักกอส มีทหาร 12,000 คน กับฝ่ายเปอร์เซียภายใต้การนำทัพของขุนพลรุสตัม มีทหารถึง 120,000 คน ก่อน ที่จะเกิดการปะทะกัน ฝ่ายมุสลิมได้ส่งอันนุอฺมาน บุตร อัล-มุฆีเราะฮฺและคณะนำสาส์นสร้างสัมพันธ์ไมตรี แต่คณะทูตเหล่านั้นถูกฆ่าทุกคนยกเว้นอันนุอฺมานเพียงผู้เดียวเท่านั้น ด้วยเหตุดังกล่าวการสู้รบอย่างดุเดือดจึงเกิดขึ้น ทหารเปอร์เซียถูกฆ่าตายประมาณ 30,000 คน ในขณะที่ฝ่ายมุสลิมเสียทหารไปเพียง 8,000 คน เท่านั้น ในการรบครั้งนี้ ฮิลาล บุตร อัล-กอมะฮฺ ได้สังหารรุสตัมแม่ทัพเปอร์เซียตายในที่สมรภูมิ ฝ่ายเปอร์เซียใช้ช้างศึกออกรบ ฝ่ายมุสลิมแก้ยุทธวิธีโดยใช้ม้าศึกและได้รับชัยชนะในที่สุด ความสำเร็จจากการสู้รบในครั้งนี้ทำให้ขุนพลสะอด์ยิ่งมีความมั่นใจจึงได้รุกต่อไปตีเมืองอัล-ญะซีเราะฮฺ ( เมโสโปเตเมีย )ได้ หลังจากนั้นคอลีฟะฮฺอุมัรได้แต่งตั้งให้ขุนพลสะอดฺเป็นเจ้านครกูฟะฮฺ ขุนพลสะอดฺได้สร้างมัสยิดและราชวัง ณ นครกูฟะฮฺแห่งนี้และท่านขุนพลก็เป็นตัวแทนเคาะลีฟะฮฺสำหรับแคว้นอิรักต่อไป
3. ศึกอัล-มะดาอิน
อัล-มะดาอินตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำไทกริส อยู่ทางตอนเหนือของบัฆดาด ( แบกแดด )ปัจจุบัน เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซียหลังจากได้รับชัยชนะที่ อัล-กอดีซียะฮฺแล้ว ขุนพลสะอดฺ ได้รุกคืบหน้าต่อไปจนถึงมะดาอินในเดือนเชาวาล ฮ.ศ. 16 ( ตุลาคม ค. ศ.637 ) ทำให้จักรพรรดิ์ยัสดาเกิร์ดต้องอพยพออกจากพระราชวังขาว ไปยัง ฮิลวาน ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งริมแม่น้ำ ไทกริสทางตอนใต้ของเมือง โมซุล ทรัพย์สินต่างๆ ภายในพระราชวังถูกริบหมด มะดาอิน จึงเป็นศูนย์กลางการทหารของมุสลิม ณ บัดนี้ สำหรับพระราชวังขาวอันงดงามวิจิตรโอฬารนั้น ได้ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นมัสยิด
4. ศึกฟัตห-อัลฟูตูหฺ ( ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ )
การสู้รบได้เกิดขึ้นอีกที่ นาฮาวันด์ ( ฮ.ศ. 19 ) บนฝั่งแม่น้ำไทกริสทางด้านตะวันออกของบัฆดาด ระหว่างกองทัพมุสลิม ภายใต้การนำทัพ ของ นุอฺมาน บุตรมุกิรริน อัลมูซานี ซึ่งได้รับหน้าที่แทนขุนพล สะอดฺ กับฝ่ายจักรพรรดิ์ยัสดาเกิร์ดที่ 3 แต่ขุนพล นุอฺมานได้ตายชะฮีดในสนามรบ อุซัยฟะฮฺ อัลยะมาน จึงทำหน้าที่แทน ด้วยกำลังใจที่ได้รับจากท่านคอลิฟะฮฺอุมัร ทำให้กองทัพมุสลิมได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้ดินแดนของเปอร์เซีย รวมทั้งคูรอซาน อาเซอร์ไบญาน ตลอดจนแว่นแคว้นต่างๆ ที่อยู่ตามชายแดนตุรกี และอาร์เมเนียได้อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในปีฮิจญเราะฮฺที่ 15 ( ค.ศ. 637 ) ท่านคอลิฟะฮฺ อุมัรได้ส่งกองลาดตระเวนส่วนหนึ่งภายใต้การนำของแม่ทัพ อุษมาน บุตรอัษษะเกาะฟี สู่โอมาน ( อาหรับตะวันออก ) ในขณะที่น้องชายของท่านอัลหะกัมได้ถูกส่งไปยัง บาฮ์เรน ( ที่อ่าวเปอร์เซีย ) เมื่อถึง โอมานแม่ทัพอุษมาน ได้นำทหารเข้ามุ่งสู่ดินแดนด้านตะวันออกใกล้การาจีปัจจุบัน
ต่อมาท่านคอลิฟะฮฺอุมัร ได้ห้ามมิให้เขาออกไปไกลกว่านี้อีก การส่งหน่วยลาดตระเวนในครั้งนี้ทำเพื่อหยั่งกำลังของข้าศึกเท่านั้น
2.4 สงครามกับอียิปต์
นักประวัติศาสตร์ตะวันตกได้กล่าวอ้างว่าการเข้าไปยึดอำนาจของกองทัพมุสลิมในประเทศอียิปต์นั้นก็เพราะความต้องการทางวัตถุ เพราะอียิปต์เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และร่ำรวยที่สุดในสมัยนั้น การกล่าวหาเช่นนี้ ย่อมเกินความจริง แท้จริงการเข้ายึดครองอียิปต์นั้น เพราะว่าอียิปต์มีเมืองอเล็กซานเดรียเป็นฐานทัพอันเกรียงไกรของอาณาจักรไบแซนไตน์ มีทัพเรือที่เข้มแข็งรองจากเมืองหลวงคือ คอนสแตนติโนเปิลเท่านั้น และหากจะโจมตีซีเรียโดยทัพเรือก็ต้องเริ่มออกจากฐานทัพอเล็กซานเดรียนี่เอง
การเข้ายึดแผ่นดินอียิปต์ของกองทัพมุสลิมเพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ของชนชาติชาวอาหรับซึ่งถูกครอบงำโดยพวกโรมัน และชัยชนะที่ได้รับจากฝีมือยุทธวิธีของแม่ทัพนายกองมุสลิมในดินแดนซีเรีย และปาเลสไตน์ย่อมเป็นแรงกระตุ้นให้แม่ทัพอัมรฺขยายดินแดนอิสลามให้กว้างขวางออกไปอีกจนถึงอียิปต์ ดินแดนแห่งนี้ เป็นถิ่นกำเนิดของบรรดารอซูล r ของอัลลอฮฺI อีกทั้งระหว่างอียิปต์กับปาเลสไตน์นั้น ไม่มีเขตดินแดนอันแน่นอนซึ่งสามารถชี้ชัดได้ เพราะไม่มีภูเขาหรือแม่น้ำกว้างกั้น อัล-วากิดี นักประวัติศาสตร์มุสลิมกล่าวว่า “ ท่านคอลิฟะฮฺอุมัรเคยเขียนสาส์นไปถึง อุบัยดะฮฺที่ปาเลสไตน์ บัญชาให้ยึดครองอียิปต์ เพื่อปลดแอกออกจากอำนาจของไบแซนไตน์
เส้นทางการเดินทัพ
อุบัยดะฮะพร้อมด้วยรี้พลจำนวน 4,000 นาย ได้เดินทัพเข้าสู่อียิปต์ผ่านซีนาย อุบัยดะฮฺประสบชัยชนะเหนืออัลวารีสีในปลาย ฮ.ศ.18 เพราะได้รับความร่วมมือจากเจ้าถิ่น จากนั้นก็มุ่งสู่ฟาร์มาอันเป็นเมืองหน้าด่านเพื่อเข้าสู่แผ่นดินไอคุปต์แล้วจึงได้เข้าล้อมเมืองไว้ประมาณ 1 เดือน มุสลิมก็ตีเมืองแตกใน ฮ.ศ.19 ต่อจากนั้นก็ได้เดินทัพเพื่อมุ่งสู่บิลบัยส์และได้เผชิญหน้ากับกองทัพไบแซนไตน์ภายใต้การนำของ อัรฟาตอง ซึ่งได้หนีออกจากปาเลสไตน์เพื่อเอาตัวรอดก่อนหน้านี้ ในที่สุดฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ ในการรบครั้งนี้ ฝ่ายมุสลิมสามารถจับราชธิดาของมุกากิส เจ้านครอียิปต์เป็นเชลย แต่ฝ่ายมุสลิมได้ส่งตัวคืนสู่อ้อมอกราชบิดาอย่างสมเกียรติ์และศักดิ์ศรี ทำให้ภาพลักษณ์ของอิสลามเป็นที่ชื่นชมและยินดีแก่บรรดาผู้คนในอียิปต์
หลังจากนั้นกองทีพมุสลิมได้เดินทางต่อไปสู่เมืองออุมมุดูไนน์ ได้เกิดการสู้รบอย่างดุเดือดจนต้องขอกำลังเสริมจากคอลิฟะฮฺ ศุนย์บัญชาการรบจึงส่งกองกำลังหนุนไปอีก 4,000 นาย มอบให้อัชชุบัยร บุตรเอาวามเป็นแม่ทัพ มีรองแม่ทัพอีก 3 คนคือ อุบัยดะฮฺ บุตรอัษษาบิต มุสัลละมะฮฺ บุตรมุคลิดและอัล-มิกดาร บุตรอัลอัสวัด คอลิฟะฮฺอุมัรได้ส่งสาส์นไปยังอียิปต์ใจความในสาส์นตอนหนึ่งกล่าวว่า “ ฉันได้ให้ความช่วยเหลือแก่ท่าน 4,000 นาย แต่ละคนมีความแข้มแข็งทางจิตวิญญาณหรือศรัทธาเทียบได้เท่าจำนวนบุรุษเพศถึง 4,000 นาย ”
กองทัพมุสลิมต้องทำศึกกับศัตรูที่มีรี้พลมากกว่าหลายเท่า ฝ่ายไบแซนไตน์มีรี้พล 20,000 นาย มี ธีโอดอร์ เป็นแม่ทัพ การสู้รบอย่างดุเดือดเกิดขึ้นที่ Hilyo polis ใกล้อัยนุซัมส์ ใน ฮ.ศ. 20 ผลปรากฏว่า กองทัพไบแซนไตน์ได้แตกพ่ายไป ทหารส่วนมากได้หนีไปยังเมือง บาบิโลน ดังนั้นทัพมุสลิมจึงมุ่งสู่ บาบิโลนต่อไป และล้อมเมืองได้ 6 เดือน สุดท้าย มุกอกิส เจ้าครองนครก็ยอมเจรจาสงบศึก ส่งทูตคณะหนึ่งเข้าพบ อัมรฺ บุตรอัลอาส อัมร์ได้ยืดเวลาออกไปอีก 2 วันเพื่อให้โอกาสแก่ชาวอียิปต์ที่จะเลือกว่าจะต้องยอมแพ้แล้วเข้ารับอิสลาม หรือจ่ายภาษีอากรประจำปีหรือไม่ก็สงคราม คณะฑูตจึงได้กลับไปรายงานผลการเจรจาและสถานภาพของมุสลิมต่อเจ้านครว่า “ เราได้เห็นมนุษย์จำพวกหนึ่งที่ชอบความตายมากกว่าการมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครเลยที่มีความโลภไยดีต่อชีวิตบนโลกนี้ พวกเราได้เห็นพวกเขานั่งอยู่บนพื้นในขณะที่พูดคุยกัน ” เมื่อได้ฟังเช่นนั้น มุกอกิส จอมคนแห่งไอคุปต์ ก็ยอมรับข้อเสนอที่จะยอมแพ้และจ่าย ภาษีประจำปี ซึ่งเป็นภาระที่เบากว่าหากจะเปรียบเทียบกับภาษีรัชชูปกรณ์ ( ภาษีบุคคล ) ที่ฝ่ายโรมันตะวันออกเคยบังคับเก็บจากพวกเขา ดังนั้นจึงได้มีการร่างสนธิสัญญาสันติภาพขึ้น แม้ว่าจักรพรรดฺ์ เฮราคิอุส ไม่เห็นด้วยก็ตาม
ขณะนั้นยังเหลือ อเล็กซานเดรียเมืองหลวงของอียิปต์เท่านั้น ที่ทัพมุสลิมยังมิได้พิชิต เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งทะเล เป็นฐานที่มั่นและเข้มแข็งที่สุด เป็นศูนย์กลางการทหารของอาณาจักรไบแซนไตน์ ด้านใต้มีพลเมืองราว 50,000 คน ท่านคอลิฟะฮฺอุมัร ได้มีสาส์นไปยังบรรดาทหารหาญที่ไม่มั่นใจในการที่จะเข้าโจมตีเมืองอเล็กซานเดรียว่า “ ตราบใดที่กองทัพมุสลิมไม่สามารถยึดเมืองอเล็กซานเดรียนี้ได้ ตราบนั้นก็จะถูกคุกคามจากไบแซนไตน์อย่างไม่จบสิ้น เพราะชาวโรมันตะวันออกจะต้องแก้แค้น และฝ่ายมุสลิมอาจจะประสบความพ่ายแพ้ในภายหลัง ” เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว เหล่าทหารหาญก็ได้ตักบีรฺต่อจากนั้นก็รีบไต่กำแพงเมืองและเข่นฆ่าศัตรูล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้าศึกที่เหลือก็รีบหนีไปที่เรือเพื่อเอาตัวรอด แต่ก็ถูกจับได้เป็นส่วนมาก อเล็กซานเดรียจึงตกเป็นของมุสลิมหลังจากที่ล้อมอยู่นานถึง 1 ปี กับ 2 เดือน ผู้นำทัพที่ทำการจนสำเร็จในครั้งนี้คือ ขุนพลอัซซุบัยรฺ
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้จอมพลแห่งไอยคุปต์ มุกอกิสต้องเดินทางไปยังอเล็กซานเดรียเพื่อลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกดังนี้คือ
1. ฝ่ายไบแซนไตน์ต้องเสียภาษีญิซยะฮฺเป็นจำนวนเงิน 1,250,000 ดีนาร์ต่อปี
2. ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา และทำอิบาดะฮฺ
3. ทหารไบแซนไตน์จะต้องออกจากแผ่นดินอียิปต์
สนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้แผ่นดินอียิปต์ทั่วทุกแว่นแคว้นต่างต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิมอัมมีมะดีนะฮฺ เป็นศูนย์กลาง การปลดแอกขับไล่ทหารโรมันตะวะนออกให้ออกจากแผ่นดินอียิปต์ต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปี
ฟิลิป ฮิตตี ได้เขียนไว้ว่า “ ชนชาวอียิปต์ถือว่าชาติอาหรับที่ปกครองพวกเขาก็เป็นชาติอาหรับด้วยกัน ต่างกันกับผู้ปกครองที่เป็นชนชาติโรมัน ( ตะวันออก ) ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นชนต่างชาติ นี่คือการปฏิวัติทางสังคมและการเมืองอีกรูปแบบหนึ่งและเป็นการมอบความยิ่งใหญ่แก่ตะวันออกกลาง ให้ฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาสนาอิสลามได้ปลุกชาวอียิปต์ซึ่งกำลังหลับเป็นเวลานานนับพันปีภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันให้ตื่นขึ้นฟื้นคืนตัวทางด้านการเมืองและวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง ”
2.5 การปลดท่าน คอลิด บุตรวะลีด ออกจากการเป็นแม่ทัพ
อุมัรจจะลงโทษอย่างหนักต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่บกพร่องต่อหน้าที่และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีเกียรติในสังคมหรือเคยได้รับการยกย่องสรรเสริญจากท่านศาสดามูฮัมมัด r มาแล้วก็ตาม ดังเช่นการปลดเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายการทหารคือ คอลิดบุตรวะลีด ออกจากตำแหน่งหลังตรวจสอบพบว่า เขามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อการเป็นแม่ทัพทางทหาร มีรายงานว่า อุมัรได้ทราบข่าวการประพฤติตัวไม่เหมาะสมผิดบทบัญญัติของศาสนาของคอลิด บุตรวะลีด ในข้อหาใช้เหล้าถูตัวขณะอาบน้ำ ซึ่งคอลิดก็ยอมรับโดยดีว่าที่ทำอย่างนั้นเพราะไม่สามารถหักห้ามใจได้ (การสัมผัสเหล้าถือเป็นสิ่งต้องห้าม) นอกจากนี้ยังมีเรื่องมีความไม่ชัดเจนในการบริจาคเงินให้ชายคนหนึ่งเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นความไม่เหมาะสมและเข้าข่ายการสุรุ่ยสุร่ายในการใช้เงิน แม้คอลิดจะเป็นเจ้าของเงินจำนวนนั้น แต่อุมัรก็ยังยืนกรานว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและมีมติให้ปลดออกจากตำแหน่งในที่สุด (อัฏฏอมาวีย,1969: 287)
อีกประการหนึ่งก็คือ ท่านคอลีฟะฮฺอุมัรอาจจะเห็นว่า คอลิด มีนิสัยกร้าว ชอบความรุนแรง และปฏิบัติการอย่างอิสระ แต่ขุนพลคอลิด ก็ได้ทำหน้าที่ของตนต่อไปอย่างบริสุทธิ์ใจต่อไป ภายใต้การนำของอบูอุบัยดะฮฺ แม่ทัพคนใหม่
ท่านคอลีฟะฮฺอุมัรรู้ดีว่าคอลิดจะต้องไม่พอใจในการตัดสินดังกล่าว แต่ท่านก็ยืนกรานถึงความถูกต้องและเหมาะสมในการตัดสินตามกระบวนการที่วางเอาไว้ ท่านยังกล่าวกับคอลิดว่า “ ท่านเป็นคนมีเกียรติและเป็นที่รักยิ่งของฉัน ขออย่าประณามฉันเลยในการตัดสินครั้งนี้ ” (อัฏฏอมาวีย,1969: 287) นอกจากนี้ท่านคอลีฟะฮฺอุมัรยังเสนอให้ปลดคอลิดจากการเป็นแม่ทัพ ในสมัยคอลีฟะฮอบูบักรมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีพฤติ กรรมที่ฝ่าฝืนระเบียบในการทำสงครามหรือจรรยาบรรณในการรบ โดยการสังหารสตรีในระหว่างการทำสงคราม (อิบรอฮีม หะซัน ,1994: 211)
2.6 สาเหตุที่ได้รับชัยชนะ
ในการทำสงครามกับเปอร์เซียและไบแซนไตน์ย่อมแสดงถึงความสามารถและความเข้มแข็งของกองทัพมุสลิมในการเข้าต่อกรกับข้าศึกจนได้รับชัยชนะในที่สุด
สาเหตุของชัยชนะนั้นมีหลายประการคือ
1. ลักษณะพิเศษที่มีอยู่ในคำสอนของอิสลามเอง
ศาสนาอิสลามได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนสันติภาพ ความสงบสุขความยุติธรรมและความเป็นภราดรภาพของมนุษยชาติ ฝ่ายมุสลิมจะไม่รุกรานศัตรูด้วยเหตุผลง่าย ๆ โดยไม่แสวงหาวิธีการสันติภาพเสียก่อน แม้แต่ในการเข้าบุกโจมตีศัตรูแต่ละครั้ง ถ้าหากข้าศึกเปลี่ยนใจยอมแพ้หรือยอมเจรจาเพื่อสันติภาพ ฝ่ายมุสลิมพร้อมที่จะรับข้อเสนอทันที ในขณะเดียวกันฝ่ายข้าศึกที่ไม่ใช่มุสลิมก็จะไม่ถูกบังคับให้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเพียงแต่ต้องเสียภาษีญิซยะฮแก่มุสลิม ทั้งนี้เพราะถือว่าเขาเหล่านั้นจะได้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของมุสลิมทุกประการ ภาษีดังกล่าวไม่ใช่ภาระที่หนักจนเกินไป ศาสนาอิสลามมีหลักการที่คอยกระตุ้นเตือนให้มีการญิฮาด ใครก็ตามหากตายในสนามรบถือว่าตายในสภาพชะฮีดจะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ และจะได้รับผลบุญอย่างต่อเนื่องภายหลังจากการตายในสภาพเช่นนั้น นับว่าเป็นผลตอบแทนอันล้ำค่าที่จะได้รับทุกวันตราบจนถึงวันกิยามัต (วันโลกหน้า) วิญญาณของเขาจะได้รับริสกีย์ ความโปรดปรานจากอัลลอฮI ตราบจนวันปรโลกเช่นกัน
2. ความเป็นผู้นำของคอลีฟะฮ
ท่านคอลีฟะฮอุมัรเองเป็นผู้นำที่มีบุคลิกภาพแห่งความเป็นผู้นำได้อย่างสมบูรณ์ ท่านสามารถบังคับบัญชาแม่ทัพนายกองต่าง ๆ ตลอดจนทหารหาญทั้งหลายที่ถูกส่งไปจากมะดีนะฮ ให้อยู่ในระเบียบวินัย ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ความมหัศจรรย์ของอุมัรเองได้แสดงให้ประจักษ์อย่างชัดเจนในคราวที่ฮุซัยฟะฮ บุตรอัลยะมานกำลังรบพุ่งอย่างดุเดือดกับเปอร์เซียนั้น อัลลอฮIทรงกำหนดให้ท่านคอลีฟะฮฺอุมัรเห็นสภาพในสมรภูมิ ท่านเห็นฮุซัยฟะฮ และกองทัพมุสลิมกำลังรบพุ่งอย่างดุเดือด ท่านอุมัรได้ตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียงให้ทหารกล้าตายเหล่านั้นรบอย่างเต็มที่
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างอุมัรกับทหารมุสลิมนั้นนับว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดมากต่างกับความสัมพันธ์ของจักรพรรดิเปอร์เซียกับประชาชนของพระองค์ ต่างกับจักรพรรดิไบแซนไตน์กับประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองซึ่งทั้งสองอาณาจักรดังกล่าวมีลักษณะของความเป็นเจ้าผู้เข้าครอบครอง อีกทั้งยังรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นชนชั้นศักดินาอีกด้วยและยังมีความไม่เป็นธรรมต่อผู้ใต้การปกครอง ต่างกับเคาะลีฟะฮอุมัรซึ่งเป็นที่เกรงกลัวแก่บุคคลทั่วไปแต่ทุกคนก็ยกย่องสรรเสริญ และให้ความเคารพรักใคร่ในตัวท่าน เหตุผลดังกล่าวย่อมชี้ให้เห็นถึงความยุติธรรมของท่านคอลีฟะฮอุมัร ทำให้อาณาประชาราษฎร์ทั้งหลายเคารพนับถือท่าน
3. ความเก่งกล้าสามารถ ความเสียสละ ทั้งแม่ทัพ นายกอง ตลอดจนไพร่พลทั้งปวงของกองทัพมุสลิม
แม่ทัพและทหารหาญมุสลิมมีลักษณะประจำตัวที่กล้าหาญชาญชัยเพราะต่างก็มีความเชื่อมั่นศรัทธาต่ออัลลอฮผู้เป็นเจ้าเหนือชีวิตของตน ทำให้เขาอยากตายในสนามรบ ตายอย่างชะฮีด ลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็นจุดสำคัญที่กระตุ้นเตือนให้ทหารหาญเหล่านั้นต้องการเข้าสู่แนวหน้าในสนามรบ ต้องการเผชิญหน้ากับข้าศึกศัตรูของอัลลอฮและฆ่าพวกทรยศต่ออัลลอฮให้สิ้นแม้จะต้องสละชีพของตนเองก็ตาม พวกเขาจะไม่ถอยจากสนามรบแม้แต่ก้าวเดียว เพราะมิฉะนั้นแล้วเขาจะได้รับโทษมหันต์ในว้นแห่งโลกหน้าตามกฎเกณฑ์การสงครามในอิสลาม ถึงกระนั้นก็ตามบรรดาทหารหาญของอิสลามมีมารยาทดีและเคร่งครัดต่อระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาในขณะที่สู้รบ แม้แต่ชาวเปอร์เซียและชาวไบแซนไตน์เองก็ยังมองทหารมุสลิมว่าเกียรติและไม่อยากจะต่อต้านทหารมุสลิมเพราะทหารมุสลิมจะไม่ฆ่าศัตรู หากไม่มีเหตุผลอันสมควร ทหารมุสลิมจะไม่ทำร้ายสตรี เด็ก คนชราและบาดหลวง บรรดาทหารกล้าเหล่านั้นต่างมีความบริสุทธิ์ใจ มีความซื่อสัตย์ต่อท่านเคาะลีฟะฮอย่างเช่นกรณีของขุนพลคอลีดบุตรวะลีดในขณะที่กำลังรบพุ่งอยู่นั้นเคาะลีฟะฮอุมัรได้ปลดท่านออกจากตำแหน่ง แต่ท่านก็ยังสู้รบกับข้าศึกจนได้ชัยชนะ นี่ย่อมเป็นที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจอย่างสูงขอทหารกล้าที่มีต่อท่านคอลีฟะฮ
4. การตักวา (เกรงกลัวต่ออัลลอฮ) และสามัคคีธรรมในอิสลาม
การสู้รบในหนทางของอัลลอฮถือว่าเป็นการต่อสู้ที่มีค่ายิ่งเกิดขึ้นเพราะต้องการแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮเพราะนโยบายในอิสลามข้อนี้ (การตักวา) ได้กระตุ้นเตือนสติอยู่เสมอในทุกเวลาเพื่อกระทำการสู้รบอย่างห้าวหาญ ยอมเสียสละทุกอย่างแม้ชีวิตของตนเอง เพื่อเจ้าของชีวิตที่ทรงประทานให้ (อัลลอฮ) และมีความสามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการทำศึกกับอริราชศัตรู ความสามัคคีและความจงรักภักดีที่มีต่อผู้นำและผู้ปกครองย่อมเป็นการง่ายที่จะออกคำสั่งใดๆ ให้พวกเขาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและซื่อสัตย์
5. การเตรียมพร้อมเพื่อรบ
ชัยชนะที่ได้รับจากการสงครามในสมัยเคาะลีฟะฮอบูบักรทำให้มุสลิมสามารถรวบรวมทรัพย์สินจากข้าศึกเป็นจำนวนมาก จึงสามารถใช้เป็นงบประมาณเพื่อเตรียมเสบียงอาหาร อาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยอื่น ๆ ได้อย่างเต็มอัตราศึก
6. การฝึกอาวุธและระเบียบวินัยอย่างสม่ำเสมอ
ตามที่รู้กันอยู่แล้วว่าเคาะลีฟะฮอุมัรประสบความสำเร็จในการตั้งค่ายที่เมืองกูฟะฮ และบัศเราะฮ เพื่อความสะดวกแก่การฝึกอาวุธและฝึกระเบียบวินัยให้เคร่งครัด เหล่าทหารหาญถูกแยกออกจากสังคมภายนอกทั้งนี้ก็เพราะเคาะลีฟะฮต้องการบำรุงขวัญและปลุกใจเหล่าทหารหาญให้หึกเหิมอยู่เสมอ
7. ความอ่อนแอของข้าศึก
ความอ่อนแอบางประการของข้าศึกได้แก่ อาณาจักรเปอร์เซียและอาณาจักรไบแซนไตน์ต้องทำสงครามอยู่เป็นประจำผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ชาวโรมันชอบการทะเลาะวิวาทกัน ชอบกดขี่ข่มเหงกันและกันเพราะความแตกต่างของนิกายในศาสนาดินแดนทั้งสองของอาณาจักรมีอาณาเขตกว้างขวางมาก ชนในชาติประกอบด้วยชาติต่าง ๆ หลายชาติพันธ์จึงยากต่อการปกปักษ์รักษา ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้สเปนในฐานะที่เป็นเมืองหน้าด่านของโรมันด้านตะวันตก ต้องสูญเสียอธิปไตยแก่ชนชาติโกธ (Goth) สองจักรพรรดิแห่งสองอาณาจักรเป็นทรราชย์สร้างความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎร์
จักรพรรดิทุกองค์ของเปอร์เซียได้อุปโลกน์ตนเองเป็นฉายาแห่งพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ถือว่าประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองมีฐานะเยี่ยงทาสและต้องเป็นข้ารับใช้ของตนสำหรับจักรพรรดิแห่งไบแซนไตน์ได้บีบคั้นประชาชนของตนด้วยการบังคับให้จ่ายภาษีอากรประเภทต่าง ๆ อย่างมากมายเช่นภาษีรายได้ ภาษีปศุสัตว์ และภาษีคนตายอาณาประชาราษฎร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของทั้งสองอาณาจักรนี้สิ้นความจงรักภักดีและไม่ต้องการที่จะสนับสนุนผู้ปกครอง เหล่านั้นอีก ข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ก็คือการบังคับไพร่พลให้เข้าสู่ยุทธภูมิจนต้องมีการล่ามโซ่ไม่ให้หนีออกจากสมรภูมิดังที่ปรากฎแล้วในสงครามโซ่และในศึกยัรมูค ปวงประชาราษฎร์ของทั้งสองอาณาจักรชอบที่จะอยู่ภายใต้อำนาจของอิสลามมากกว่าโดยถือว่าเป็นกองทัพธรรมปราบปรามความชั่วร้ายต่าง ๆ ในสังคมในขณะนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น