เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
บล็อกนี้ เป็นบล็อกสำหรับทุกคนที่ต้องการรับรู้ถึงสังคมปัจจุบันว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางใดและสังเกตุพฤติกรรมของมุสลิมในสังคมว่ามีสภาพว่าเป็นอย่างไร พร้อมกันนี้เพื่อนอิสลามจะคอยเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เข้ามาเยื่ยมชม ซึ่งสิ่งที่เราต้องการ คือ เป็นเพื่อนในอิิสลามของคุณตลอดไป และถ้าหากเห็นว่าบล็อกนี้มีประโยชน์ช่วยเม้นให้ด้วยนะ หรือ ถ้าหากจะต้องการเนื้อหาอะไรก็โพสได้นะครับ ยินดีเสมอครับ

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คอลีฟะฮ อุษมาน บินอัฟฟาน ตอนที่ 5


ติดตามคอลีฟะห์ อาลี เร็วๆนี้
โดยอาจารย์ รอฟลี แวหะมะ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี  เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะ
เมืองที่ อับดุลเลาะ อิบนุสาบะ ได้เข้าไปสร้างความวุ่นวาย

1. กูฟะฮฺ

                จริงแล้วกูฟะฮฺเป็นเมืองแรกที่ซัยตอนได้สร้างความแตกร้าวในระหว่างชาวเมือง เริ่มต้นที่ซะ อิบนี อบีวะกอซ ได้เป็นเจ้าเมืองกูฟะฮ์ในสมัยคอลีฟะฮ์อุษมาน ด้วยคำสั่งเสียของคอลีฟะฮ์อุมัรและอับดุลเลาะ อิบนิ มัซอูร เป็นผู้รักษาทรัพย์สิน ในบัยตุลมาน และซะล์ อิบนิอบีวักกอซได้ขอยืมเงินจากบัยตุลมานจากอับดุลเลาะอิบนิมัซอูร เมื่อถึงกำหนดอิบนิมัซอูรก็ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นให้อับดุลเลาะเลื่อนเวลา    จึงเกิดข้อพิพากบางฝ่ายก็ตำหนิซะล์ บางฝ่ายก็ขอโทษอับดุลเลาะฮ์ เรื่องดังกล่าวไปถึงหูท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน อุสมานจึงปลดซะล์ และได้แต่งตั้งวะลีด อิบนุอุกบะห์ ซึ่งแต่ก่อนนั้น เขาเป็นผู้ปกครองคาบสมุทรอาหรับในสมัยคอลีฟะฮ์อุมัร
                หากพวกเขาส่วนหนึ่งจำนวน 50 คน ได้สาบานและเรียกร้องสิทธิของพวกเขาแน่นอน การสู้รบก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  
                ท่านวาลีดได้เขียนสารไปหาคอลีฟะฮ์อุษมานเขาเขียนไปหาท่านถึงเรื่องราวการสู้รบที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ
                เมื่อกลุ่มชนที่ถูกประหารชีวิต เขาได้ทักทวงวาลีดผู้ปกครองของวาลีดจึงได้เจรจากับพวกเขาในยามค้ำคืนโดยมีท่านอาบูชุบัยด เขาเป็นคนขี้เหล้า วาลีดรู้จักเขาในสมัยที่เขาเป็นคริสเตียน
                ในขณะที่วาลีดดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองยาซีเราะห์เขากลัววาลีดมาก และในขณะที่วาลีดเป็นเจ้าเมืองมาดีนะฮฺเขากลัววาลีดมากและในขณะที่วาลีดเป็นเจ้าเมืองมาดีนะฮฺเช่นกัน เมื่อวาลีดเดินกทางมากูฟะฮฺ อาบูชุบัยด์ ก็ได้พบกับเขา สำหรับวาลีดนั้นท่านมีอิทธิพลมากในณะที่ท่านเข้ารับอิสลาม ซึ่งน้าของเขาไม่ชอบใจนักที่เขาเข้ารับอิสลาม ท่านจึงตัดขาดกับน้าของท่านและเดินทางไปที่กูฟะฮฺในสถาพที่เป็นมุสลิม อิสลามของท่านสมบูรณ์ที่นั้นและท่านเป็นกวีอาหรับคนหนึ่ง
                อบูซัยนับและอาบูเมาเรียะฮ์ ได้มาซึ่งพวกเขายุยงให้สังหารลูกหลานของพวกเขาและพวกเขาตั้งสายลับขึ้นมา
                และสายลับกล่าวแก่เขาว่า พวกท่านดื่มสุราร่วมกับอาบูชุบัยรไหม? พวกเขาช่วยกันต่อต้าน ในเรื่องดังกล่าว พวกเขากล่าวกับประชาชนชาวกูฟะฮฺว่าน็คือผู้นำของพวกท่าน ซึ่งคอลีฟะฮ์อบูบักรได้เลือกเขา เขาทั้งสองยังคงอยู่กับการดื่มสุรา พวกเขาจึงไปที่บ้านของวาลีด แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้  วาลีดหลบซ่อนพวกเขาและคอลีฟะฮ์อุษมาน โดยเขาไม่ออกไปพบกับผู้คนท่านสงบเสงี่ยนและอดทน มีคนกลุ่มหนึ่งไปหาอิบนิมัสอูดและกล่าวว่าฃใครปิดบังสิ่งใดกับเราเราก็จะไม่เสาะแสวงหาสิ่งนั้นและเราก็จะไม่ทำให้เขาเสื่อมเสียเกียรติคำพูดดังกล่าวไปถึงหูของท่านวาลีด
                คอลีฟะฮ์อุษมานได้ออกไปจากกลุ่มชนดังกล่าว และพวกเขากล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายอย่าได้กลับไปยังกูฟะฮฺอีก    เพราะว่าพวกเขาไม่สนพวกท่านหรอก แต่ทว่าพวกท่านอยู่กับเราแล้วที่อัลญะซีเราะฮ แล้วอับดุรเราะมาน อิบนุคุลิด อิบนุวะลิด ได้เชื่อฟังพวกเขา ขณะนั้นท่านอาลีอยู่ที่เมืองหิมส์  ดังนั้นท่านอาลีได้เรียกร้องพวกเขาและท่านกล่าวว่า โอ้เครื่องมือของชัยตอน พวกเราไม่ต้อนรับพวกท่าน ดังนั้นชัยตอนก็ได้กลับไปด้วยความเสียใจ พวกท่านได้อยู่ห่างไกลจากความสำเร็จ  อัลลอฮ ได้ทำให้อับดุนเราะมานขาดทุน ถ้าหากเขายังไม่มีมารยาทกับพวกท่าน
                “โอ้บรรดาผู้ซึ่ง ฉันไม่รู้ว่าพวกเขานั้นเป็นอาหรับหรือไม่ใช่อาหรับ พวกท่านทั้งหลายจงอย่ากล่าวกับฉันในสิ่งที่ฉันทราบ แท้จริงพวกท่านกับมุอาวิยะฮ ฉันคือบุตรชายของคอลิด อิบนุวาลิดขอ สาบานต่ออัลลอฮ แท้จริงฉันรู้ว่าเซาะซออะฮ บุตร ซิล เป็นบุคลหนึ่งที่ถูกถอดถอนฉันจะไปหาท่าน ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนและเขาก็ได้เดินทางเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ดังนั้นเมื่อได้ผ่านมาพบกับเขา เขาก็ได้กล่าวว่า โอ้อิบนุ ฮุตัยละห์ ทำให้ฉันได้รู้ว่า แท้จริงใครที่ไม่สนับสนุนให้ทำความดี เขาก็เท่ากับสนับสนุนให้ทำความชั่ว ท่านไม่มีอะไรหรอก อย่าพูดในสิ่งที่ฉันไม่รู้เลย แต่ไปพูดกับสะอิ๊ดและ  มุอาวิยะฮฺ ไม่ดีกว่าหรือ เขาได้กล่าวและพวกเขาทั้งหลายก็กล่าวตอบว่า  เราขอเตาบะห์ต่ออัลลอฮ I  ดังนั้นพวกเขาคงอยู่กับเขาจนกระทั่งเขากล่าวว่า  อัลลอฮ I ได้อภัยโทษแก่พวกท่านแล้ว และได้ยื่นมือ ไปจับกับอุสมานในการขอเตาบะห์ และเสียใจ พวกเขาก็ได้ถอนตัวออกจากคอลีฟะฮ์อุษมานและพวกของคอลีฟะฮ์อุษมาน   คอลีฟะฮ์อุษมานก็กล่าวกับพวกเขาว่า แล้วแต่พวกท่านเถิด แล้วพวกเขาก็กลับไป
                มีคำสั่งของคอลีฟะฮ์อุษมาน ให้พวกเขากลับไปยังกูฟะฮฺ แต่ว่าพวกเขาได้ขอผ่อนปรน ดังนั้นพวกเขาก็อยู่ในอัลญะซีเราะห์ต่อไป
                ในระหว่างนั้นซาอิด แยกคนงานจากบรรดาผู้นำออกจากกัน สะอิดก็ได้ออกไปหาคอลีฟะฮ์อุษมาน ประชาชนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ แต่พวกเขาก็กลับไปสู่ความชั่วช้าของพวกเขาเอง ดังนั้น ซาอิดมีความต้องการที่จะกลับไปยังกูฟะฮฺ   เพื่อที่จะได้พบกับคอลีฟะฮ์อุษมานอีกครั้ง ประชาชนไม่ต้องการให้สะอิดกลับไป แต่สะอิดก็ไป โดยที่เขาไม่ได้ปฏิบัติตามความต้องการของกลุ่มชนนั้น และพวกเขาต้องการที่จะให้ อบูมูซา อัลอัชอารี ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนสะอิด แล้วสะอิดก็ลงจากตำแหน่ง โดยมีการแต่งตั้งอบูมูซา อัล อัชอารี ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน นี่คือสภาพในกูฟะฮฺ  เป็นความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่เกิดขึ้น  ผู้คนมีความรู้ในเรื่องศาสนาน้อย บรรดาผู้นำมีความอ่อนแอในการปกครอง  ประชาชนไม่มีการภัคดีต่อผู้นำ แทบไม่เหลือความเชื่อฟังต่อผู้นำหลงเหลืออยู่ในจิตใจของพวกเขาเลย

2.บัสเราะห์

                บัสเราะห์คือสถานที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอีรัก สภาพภายในนั้นไม่ได้ดีไปกว่ากูฟะฮฺ ดังเช่นที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า พวกเขาได้พยายามถอดถอนอบี มูซา ออกจากตำแหน่งผู้นำโดยการตำหนิเขา จนเขาถูกปลดออก และเปลี่ยนเป็นอับดุลเลาะห์ อิบนิ อามีร ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนผลงานของเขาคือการพิชิตกูฟะฮฺ  เขาก็ได้เป็นผู้ปกครองครอบคลุมทั้งบัสเราะห์ และบาเรนท์เป็นเวลา 3 ปี และประสบผลสำเร็จ (ชัยชนะ) จากการที่อับดุลกอยยิส ต่อสู้กับหุกัยม์ อิบนุญับละฮ กล่าวคือ หุกัยม์ เป็นขโมย เมื่อกองทัพได้เคลื่อนถอย เขาก็ได้หนีออกจากกองทัพ รีบเข้าไปในเปอร์เซีย และเขาได้เปลี่ยนเป็นคนที่ไม่ใช่มุสลิม เพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้กับแผ่นดิน และสิ่งที่เขาต้องการ อะห์ลุลกิบละฮก็ได้ร้องเรียนไปยังคอลีฟะฮ์อุษมาน  ดังนั้น  คอลีฟะฮ์อุษมานก็ได้ส่งสารไปยัง อับดุลเลาะห์ อิบนุ อามิร ให้ทำการจับกุม หุกัยม์ และบุคลที่ประพฤติตัวคล้ายๆ กับหุกัยม์ เพื่อกักตัวไว้ จนกว่าพวกเขาจะดีขึ้น หุกัยม์ก็ไม่สามารถที่จะออกจากที่นั่นได้  ต่อมามีชายคนหนึ่งคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า อับดุลเลาะห์ อิบนิสะบะ มีฉายานามว่า อิบน เซาดอ  โดยเขาจะตั้งคำถาม ให้กับประชาชน และเขาก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้นและไม่ได้ทำให้คำถามนั้นกระจ่างขึ้น เขาจะแนะนำผู้คนโดยที่จะสอนในทางที่ผิดๆ
                แท้จริงแล้วชายผู้นี้เป็นชาวยาฮูดี แต่แสดงตัวว่าตนเป็นอิสลาม (มุสลิม) เพื่อที่จะมาสร้างความปั่นป่วน และพยายามทำให้มีความเข้าใจผิดว่าตนเป็นมุสลิม เขาก็กล่าวกับผู้คนว่า เป็นเรื่องแปลกจากการที่กล่าวว่า นบีอีซาจะกลับมอีกครั้งหนึ่ง โดยที่เขาไม่ได้กล่าวว่าเป็นนบีมูฮัมหมัด จะกลับมอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นประชาชนก็เชื่อตามคำพูดดังกล่าว เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่โง่เขลา ไม่มีความเข้าใจในเรื่องศาสนา หลังจากนั้นเขาก็กล่าวกับผู้คนว่า แปลกจริงหนอพวกท่าน โอ้พวกมุสลิม เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน  นบีของพวกท่านไม่ได้บอกในเรื่องนี้หรือ? ด้วยคำพูดของมูฮัมหมัด อิบนุ ซาบะ ทำให้ประชาชนยอมรับในตัวเขาได้ง่าย โดยการเชิญชวนผู้คนให้เทิดพระเกียรติ์ท่านนบีมูฮัมหมัด  และยกฐานะของท่านนบีมูฮัมหมัด  ไว้เหนือนบีก่อนๆ
                สิ่งดังกล่าวนั้นเป็นความอัพยศจากการทิ้งพวกพ้องของเขา และละทิ้งคำสั่งของคอลีฟะฮ์  ดังนั้น  เขาได้อ้างถึงอิบนุอามิร จากสิ่งที่มาจากพวกเขา ดังนั้นท่านจึงได้ไปหา อับดุลเลาะ อิบนุ ซาบะ แล้วได้ถามว่าท่านเป็นใคร ? ดังนั้นเขาจึงตอบว่า เป็นชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวคัมภีร์  ปราถนาในอิสลามและปราถนาที่จะเป็นญาติสนิทของท่าน  จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า จงอย่ากล่าวกับฉันเช่นนั้น และจงไปจากฉัน ดังนั้นเขาจึงออกไป จนกระทั่งไปถึงกูฟะฮฺ  และเขาก็ไปจากที่นั่น จากนั้นก็ไปยังเมืองชาม และอียิปต์
                ฮุมรอน บุตร อิบบาน ได้แต่งงานกับสตรีในขณะที่ยังอยู่ในอิดดะฮ ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานจึงได้ลงโทษเขาโดยการเขี่ยน (โบย) และได้แยกเขาทั้ง 2 คนออกจากกันและถูกเนรเทศไปยังบัสเราะฮฺ 
               

3.อียิปต์

ส่วนสิ่งที่เกิดในอียิปต์ นั้นรุนแรงมากกว่าในบัสเราะฮฺ เพราะอับดุลเลาะห์ อิบนุ ซาบะ ได้มาสร้างฟิตนะฮฺ ไว้อย่างมากมาย มีคนจำนวนมากที่เชื่อและหลงตามเขา และได้ทำให้เกิดความเสื่อมเสียมากมาย จากเมืองกูฟะฮฺ บัสเราะห์  เขาได้พูดกับชาวเมืองชามว่า ช่างแปลกเหลือเกินสำหรับผู้ที่อ้างว่าแท้จริงอีซาจะกลับมา  และเขาได้พูดต่อไปว่า  แท้จริงมูฮัมหมัด  จะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง และอัลลอฮ I ได้กล่าวว่า แท้จริงอัล-กุรอ่าน ได้ทำให้เป็นฟัรดูแก่พวกท่าน สำหรับการกลับมาของอัล มะอ๊าดของท่าน  ดังนั้นมูฮัมหมัดจึงควรกลับมาอีกครั้งมากกว่าอีซา และเขาได้กล่าวต่อไปว่า ทุกๆ นบีย่อมมีผู้ที่ถูกสั่งเสีย และอาลีคือผู้ที่มูฮัมหมัด  ได้สั่งเสียเอาไว้  หลังจากนั้นเขาก็ได้กล่าวว่า  มูฮัมหมัด  คือนบีคนสุดท้าย ผู้ที่อธรรมจากผู้ที่ไม่มีส่วนในการสั่งเสียของท่านนบี  และโจมตีผู้ที่เป็นผู้สืบทอด ของนบี และเขาได้กล่าวแก่ชาวเมืองว่า แท้จริงคอลีฟะฮ์อุษมานได้ยึดตำแหน่งคอลีฟะฮ์อย่างไม่ชอบธรรม ทั้งๆที่เป็นคำสั่งเสียของท่านนบี   ดังนั้นพวกท่านทั้งหลาย จงแก้ใขในสิ่งนี้และจงเคลื่อนไหวและจงเริ่มโต้ตอบผู้นำของพวกท่าน และพวกท่านจงทำให้เป็นที่ชัดเจนในการที่จะสั่งใช้ในความดี และห้ามปรามในเรื่องของความชั่ว และการเผยแพร่ของเขาได้แพร่กระจายไปในหมู่ประชาชน และได้เขียนจดหมายไปยังหัวเมืองต่างๆ เพื่อสร้างความเสื่อมเสีย และตำหนิผู้ปกครองหัวเมืองต่างๆ
เมืองมาดีนะฮฺเป็นศูนย์รวมของผู้อพยพ และอันศอร เป็นที่ตั้งของรัฐอิสลาม ได้เป็นจุดศูนย์รวมของชาวเมืองต่างๆ เป็นสถานที่ที่แก้ปัญหาต่างๆให้กับประชาชาติอิสลาม ชาวเมืองมะดีนะฮฺรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ตนเองได้รับ แต่ชาวเมืองอื่นนั้นบางคนอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก พวกเขาเหล่านั้นได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า โอ้ อมีรุ้ลมุมินีน มีบ้างไหมที่คนเขามาหาท่านอย่างที่มาหาฉัน  ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานก็กล่าวตอบว่า ไม่ ไม่มีผู้ใดที่จะมาหาฉัน หากมีผู้มาหาก็มาด้วยความสันติ เขาเหล่านั้นได้กล่าวอีกว่า  มีบางกลุ่มมาหาเราแล้วบอกว่าได้รับภัยพิบัติต่างๆนาๆ   ท่านอุสมานก็ได้ถามว่า เจ้าจงบอกกับเรามาว่าควรทำอย่างไร  พวกเขาก็เสนอว่าให้ส่งคนไปยังเมืองต่างๆ เพื่อหาข่าวคราวแล้วให้กลับมาบอกท่าน คอลีฟะฮ์อุษมานก็เห็นด้วย ท่านจึงได้ส่ง มูฮัมหมัด บินมัสลามะฮ ไปยังกูฟะฮฺ  ส่งอุสามะฮไปยังบัสเราะ อุมัร บิน ยาซีร ไปยังอียิปต์ และอับดุลเลาะ อิบนิอุมัร ไปยังชาม  และส่งผู้คนอีกมากมายไปยังเมืองอื่นๆ ทุกคนที่ถูกส่งไปไม่นานก็ได้เดินทางกลับมาทุกคนยกเว้น อุมัร บินยาซีร ที่ไม่ได้กลับมา  ส่วนผู้ที่กลับมานั้นก็บอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า  ผ้คนไม่ได้ปฏิเสธ และผู้ปกครองก็ปกครองด้วยความยุติธรรม   ต่อมาไม่นานก็ได้มีสารจาก  อับดุลเลาะ บิน อบีสิเราะฮฺ บอกว่าท่านอุมัร บิน ยาซีร ได้ถูกจับตัวเอาไว้โดยผู้ที่เคยต่อต้านอุสมาน เช่น อับดุลเลาะห์ บิน อัสซูดาอ  คอลิด บิน มัลยิม
ผู้ที่ต่อต้านคอลีฟะฮ์อุษมานในอียิปต์นั้นมีอยู่ 2 พวกด้วยกัน คือ
1.มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ ซึ่งเขาเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่กับอุสมาน เมื่อตอนคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นผู้ปกครองในบ้านของเขา  เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือและรับผิดชอบงานต่างๆ ในตอนนั้นมูฮัมหมัด  ได้ขอให้คอลีฟะฮ์อุษมานหางานให้กับเขา คอลีฟะฮ์อุษมานก็กล่าวว่า โอ้ ลูกฉัน ถ้าเจ้ามีความสามารถพอ ฉันจะให้งานกับเจ้า แต่นี่เจ้าไม่มีความสามารถพอ เขาจึงบอกว่า ถ้าคอลีฟะฮ์         อุษมานไม่อนุญาตฉันจะไปจากที่นี่ เพื่อที่จะหาสิ่งที่พอประทังชีวิตให้กับฉัน             ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานกล่าวว่า เจ้าจงไปที่ไหนก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ เขาก็เลือกที่จะไปที่ อียิปต์ แต่เมื่อเขาไปถึงที่นั่น เขาก็เกิดความต่อต้านอย่างรุนแรงต่อคอลีฟะฮ์อุษมาน  เพราะคอลีฟะฮ์อุษมานไม่ให้การสนับสนุนตัวของเขา ซ้ำยังแต่งตั้ง อับดุลเลาะ บิน อามิร เลยยิ่งทำให้มีการต่อต้านเพิ่มมากขึ้น
2. มูฮัมหมัด บิน อบีบักร เป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีในมุมมองของอิสลาม เป็นลูกของอบูบักร เป็นพี่ของอาอีชะห์ เขาได้ร่วมกับมูฮัมหมัด บิน อบี ฮุซัยฟะห์ เพื่อต่อต้านคอลีฟะฮ์อุษมา  สิ่งที่ทำให้เขาทั้ง 2 คน ร่วมมือกันในการต่อต้านอุสมานก็คือ ในปีที่ 31 ในการสู้รบ  ตอนที่ขึ้นเรือข้ามทะเล ในขณะที่อับดุลเลาะห์ อิบนิซิเราะฮ กำลังละหมาด อัศริ พร้อมๆกับเพื่อนๆอยู่ มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ กล่าวตักบีรด้วยเสียงที่ดัง   หลังจากที่อับดุลเลาะห์ บินสอิด ละหมาดเสร็จ เขาก็กล่าวว่า เอ๊ะนี่บิดอะห์ มาจากไหนกัน  มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ ก็กล่าวขึ้นมาว่านี่ไม่ใช่บิดอะห์มาจากไหนหรอก มันเป็นแค่การตักบีรธรรมดาๆ อับดุลเลาะห์ บินสอิด ก็กล่าวขึ้นมาว่าเจ้าอย่าทำอีกนะ เมื่อถึงเวลามัฆริบ มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ ก็ตักบีรเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง อับดุลเลาะห์ บินสอิด ก็ได้ส่งตัวแทนไปบอกกับเขาว่า เจ้าเป็นคนบ้า ถ้าฉัน(อับดุลเลาะห์ บินสอิด)ถ้าฉันสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อตัวท่านฉันก็จะทำ  มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ ก็กล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ I  ท่านไม่สามารถทำอะไรฉันได้หรอก ถึงแม้ว่าท่านต้องการจะทำ จากนั้น มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ จึงเปลี่ยนไปขึ้นเรืออีกลำหนึ่ง ซึ่งไม่มีมุสลิมเลย และคนที่ไปกับเขาก็คือ มูฮัมหมัด บิน อบีบักร หลังจากที่อัลลอฮ I ได้ให้โรมันประสบกับความพ่ายแพ้ในสงคราม มุสลิมก็ได้กลับสู่บ้านเกิด      มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ ก็ได้พูดให้ผู้ชายคนหนึ่งฟังว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮเราได้ละทิ้งการต่อสู้หนึ่งไป ชายคนนั้นก็ได้ถามว่าแล้วการต่อสู้นั้น คืออะไรละ มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์ ก็ตอบว่าคือ อุสมาน อิบนุ อัฟฟาน  มูฮัมหมัด บิน อบีฮุซัยฟะห์และมูฮัมหมัด บิน อบีบักร ได้พูดตำหนิคอลีฟะฮ์อุษมานอย่างรุนแรง ถึงกับกล่าวว่า เลือดของคอลีฟะฮ์อุษมานนั้น ฮาล้าล (สามารถฆ่าได้)
                  และสาเหตุที่ อุมัร บิน ยาซิร โน้มเอียงไปเป็นฝ่ายที่ต่อต้านคอลีฟะฮ์อุษมานเป็นเพราะเขามีความ         รู้ที่ไม่ดีต่อคอลีฟะฮ์อุษมาน เนื่องจากคอลีฟะฮ์อุษมานได้ตัดสินลงโทษเขากับอับบาส อิบนุอุตบะห์ อิบนิ อบีวะฮับ  เพราะบาดหมางกัน
4.ชาม
                สภาพในเมืองชามดีกว่าเมืองอื่นๆที่ได้กล่าวไปแล้ว เนื่องจากมุอาวียะห์มีความเด็ดขาด แต่เหตุการที่เกิดขึ้นเกิดจากนักสร้างกระแส สร้างกระแสต่อต้านคอลีฟะฮ์อุษมานแต่ มุอาวิยะฮฺได้ทำให้เกิดปัญกาขึ้นในด้านนึง แต่ชาวเมืองชามยังจงรักภัคดี ต่อเขาอยู่ และอิบนุเซาดะห์(อับดุลเลาะห์ อิบนุซาบะ) มีอุบายที่แยบยลสร้างความปั่นป่วน โดยจับจุดอ่อนของคนเหล่านั้นได้
                เป็นที่รู้ว่าอบู ซัร เป็นผู้ที่มีความสำรวมเป็นอย่างมาก ไม่ขี้เหนียวและไม่ฟุ่มเฟือย  เป็นบุคลที่เอ็นดู เมตตา คนยากจน อิบนิ เซาดะห์ จึงไปหาอบู ซัร แล้วพูดว่า ไม่แปลกใจหรือ ทรัพย์สินนั้นเป็นของอัลลอฮ I   แต่คอลีฟะฮ์อุษมานต้องการเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของตัวเอง  ดังนั้นอบูซัร จึงไปหามุอาวิยะห์ แล้วพูดว่า อะไรที่ทำให้ท่านเรียกทรัพย์สินของบรรดามุสลิมว่าเป็นทรัพย์สินของอัลลอฮ   มุอาวิยะห์ตอบว่า โอ้ อบูซัร เราไม่ใช่บ่าวของอัลลอฮ I หรือ  ทรัพย์สินและสิ่งต่างๆก็เป็นของพระองค์  ต่อมาอบูซัรได้ประกาศกับประชาชนว่า โอ้ บรรดาผู้มั่งมีทั้งหลาย จงแจ้งข่าวดีแก่ผู้ที่สะสมเงินทองของเขา และไม่จ่ายในหนทางของอัลลอฮ I  ด้วยกับไฟนรก
                มุอาวิยะฮฺ จึงแจ้งเรื่องนี้แก้คอลีฟะฮ์อุษมาน    คอลีฟะฮ์อุษมานจึงเขียนหนังสือและเนรเทศอบูซัรไปยังรอบซะห์ มีรายงานจาก ต๊อบรี ว่า อบูซัร ออกจากร็อบซะห์ ไปยังมาดีนะห์เพื่อเข้าพบ คอลีฟะฮ์อุษมาน  ขณะนั้นกะห์บุ้ลอะบัรได้อยู่กับท่านอุสมาน  เกิดการพิพาทกัน จนกระทั่งอบูซัรกล่าวประนาม กะห์บุ้ลอะบัรซึ่งเป็นยาฮูดีมาก่อน     ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่า อบูซัรเป็นคนแรกที่ได้กล่าวถึงพื้นฐานระบบสังคมนิยม
หลังจากนั้น อบูซัร ได้กลับไปยังรอบซะห์  และท่านก็ได้เสียชีวิตที่นั่นโดยท่านอยู่ที่นั่น 3 ปีเศาะฮาบะฮฺได้ทำการฝังศพเขาที่นั่น หนึ่งในนั้นคืออิบนุมัสอูด สภาพในเมืองมาดีนะฮฺรุนแรงขึ้นโดยพวกซาบาอียะฮฺ ได้เป็นตัวการสำคัญในการสร้างข่าวการวิจารย์ ในการบริหารของคอลีฟะฮ์อุษมาน

ผลลัพธ์อันเนื่องจากฟิตนะฮฺกุบรอ

                สาเหตุต่างๆ ตามมาภายหลังอย่างต่อเนื่อง ฟิตนะฮฺอัลกุบรอที่เกิดขึ้นจากสาเหตุของการฆาตกรรมจนทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายนั้นพอจะกล่าวได้ดังนี้
1.การฆาตกรรมท่านอุสมานได้กระทำขึ้นอย่างโหดเหี้ยม ทารุณ
                สิ่งที่เห็นชัดที่สุด ในการที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานถูกสังหารอย่างทารุณนั้นก็คือได้เกิดภาพให้เราเห็นว่าประชาชาติมุสลิมได้ตกอยู่ในสถานการณ์ก่อกบฏต่อท่านคอลีฟะฮ์ของตนเอง   ซึ่งถูกคัดเลือกมาโดยพวกเขานั้นเองและคอลีฟะฮิก็ไม่ได้รับการคุ้มครองจากบรรดาทหารของรัฐที่ประจำอยู่ในเมืองหลวง อันเป็นการเปิดทางสะดวกให้แก่บุคคลที่ไม่ชอบท่านได้กระทำการสังหารท่านในที่สุด(มัรวานเองก็ไม่เปิดเผยตนเองเพื่อออกคำสั่งให้ทหารคุ้มครองคอลีฟะฮ์อย่างจริงจัง)
                2.ท่านอสลีขึ้นครองตำแหน่งเป็นคอลีฟะฮ์ท่านใหม่
                เมื่อคอลีฟะฮ์จากไป รัฐอิสลามจึงมีความจำเป็นที่ต้องแต่งตั้งคอลีฟะฮ์ท่านใหม่ ท่านอาลีจึงได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปทำหน้าที่แทนท่านคอลีฟะฮ์อุษมานเรื่องนี้จึงเกิดความแตกต่างกันถึงวิธีการแต่งตั้งระหว่างท่านอาลีกับท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน  ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานได้รับการคัดเลือกจากที่มัจญ์ลิสชุรอ และมีการบัยอะฮฺ (กล่าวสัตยาบันจากประชาชนและท่านอาลีเองก็ไม่ได้ต้องการตำแหน่งนี้มาก่อน) ท่านจำต้องยอมรับเพราะเหตุการณ์อยู่ในภาวะคับขัน และถูกฝ่ายกบฏบังคับและคนในมัจญ์ลิสชูรอบางคนก็ได้ให้การบัยอะฮฺต่อท่านด้วยความจำใจเพราะถูกบังคับ เช่น ฏ็อลฮะฮฺและอัซซุบัยร์
                3.ความระส่ำระสายในสมัยการปกครองของท่านอาลีซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
                เหตุการณ์ฟิตนะฮฺ อัลกุบรอ ยังมีผลกระทบต่อการปกครองของท่านอาลี  คอลีฟะฮ์อาลีนั้นมีอุปนิสัยต่างกับท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน    ซึ่งมีการปกครองและบริหารเยี่ยงสมัยของท่านนบี   และท่านคอลีฟะฮ์อุมัรความวุ่นวายต่างๆ ก็เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาของการครองตำแหน่งคอลีฟะฮ์แม้ว่าจะมีการย้ายเมืองหลวงจากมาดีนะฮฺไปยังเมืองกูฟะฮฺก็ตาม

ผลงานอื่นๆของคอลีฟะฮ์อุษมาน

1.การรวบรวมอัล-กุรอ่าน
                ผลงานชิ้นสำคัญอันถาวรประการหนึ่งของคอลีฟะฮ์อุษมาที่มุสลิมทุกคนจะต้องขอบคุณ ก็คือการทำให้มุสลิมทั่วโลกอ่านกุรอ่านในสำเนียงเดียวกันโดยการสะกดตัวอักษร การเรียงลำดับวรรคตอนและบทต่าง ๆ ที่เหมือนกัน หลังจากนั้นเขาก็ได้จัดทำสำเนาของฉบับที่ได้รับการรับรองความถูกต้องส่งไปยังเมืองสำคัญต่าง ๆ ของอาณาจักรอิสลาม
                อิมามบัดรุดดีน มุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮ อัลซัรคอซี  (เสียชีวิตฮ.. 794/ ..1489) กล่าวว่า
ผู้คนได้รับอนุญาตให้อ่านกุรอานที่พวกเขาท่องจำในสำเนียงใดก็ได้ที่พวกเขาชอบ ดังนั้น จึงทำให้การอานมีความแตกต่างกันมากมายและเป็นที่กลัวกันว่ากุรอานจะถูกบิดเบือน  ดังนั้น  จึงได้มีการกำหนดให้อ่านกุรอานในสำเนียงเดียวกันซึ่งเป็นที่ปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้โดยทั่วไปแล้วมักจะกล่าวกันว่าคอลีฟะฮ์อุษมาน  คือผู้รวบรวมกุรอาน  แต่นั่นไม่ถูกต้องความจริงแล้ว  ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์  อุสมานเพียงแต่เป็นผู้กำหนดให้ผู้คนอ่านกุรอ่านในสำเนียงเดียวเหมือนกับการอ่านของพวกมูฮาญีรีนและพวกอันศอร  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคนในอีรักและซีเรียอ่านออกเสียงต่างกันซึ่งจะเป็นการสร้างความแตกแยกขึ้นในหมู่มุสลิม
อบูบักรต่างหากที่ได้รวบรวมกุรอ่านขึ้นเป็นเล่ม มีรายงานว่าอาลี กล่าวว่าอัลลอฮ I อาจจะทรงเมตตาต่อคอลีฟะฮ์อบูบักรเพราะเขาเป็นคนแรกที่รวบรวมกุรอ่านขึ้นเป็นเล่มไม่มีสาวกคนใดของนบีเคยคัดค้านการทำเช่นนี้ในสมัยของคอลีฟะฮ์อบูบักรและอูมัร การจัดเตรียมคัมภีร์เช่นเดียวกันนี้ก้เป็นที่ปฏิบัติเช่นเดียวกันโดยคอลีฟะฮ์อุษมาน   ซึ่งเป็นผู้จัดทำสำเนาขึ้นมาเพราะได้มีการอ่านที่แตกต่างกันเกิดขึ้น อัลลอฮI   ได้ทรงให้คอลีฟะฮ์อุษมานสามารถทำงานนี้ซึ่งช่วยให้ความแตกตก่างทั้งหลายหมดสิ้นไปและก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่มุสลิม
                มีรายงานว่าอาลียังได้กล่าวอีกว่า  ถ้าหากว่าฉันต้องเผชิญสถานการณ์แทน คอลีฟะฮ์อุษมานแล้ว  ฉันก็คงจะทำเช่นเดียวกับ คอลีฟะฮ์อุษมาน
                อิบนุ กะษีร ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  อัลบิดายะฮ วันนิฮายะฮ”  ว่าอะลีได้กล่าวว่า                             
ขอพวกท่านจงอย่าได้อธรรมต่อ คอลีฟะฮ์อุษมาน พวกท่านกล่าวหาว่าเขาแก้ไขกุรอาน ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮI   อะไรก็ตามที่เขาได้ทำไป (ในการทำให้ทุกคนอ่านเหมือนกัน) นั้น บรรดาเศาะฮาบะฮของท่านรอซูลุลลอฮรู้และทุกคนก็ยอมรับ ถ้าหากฉันอยู่ในฐานะของเขา ฉันก็คงจะทำอย่างเดียวกับที่เขาได้ทำไป
จากภาระกิจประการสำคัญของท่านคอลีฟะฮ์อุษมาน คือ การรวบรวมอัลกรุอาน ในสมัยของท่านนบี   ได้มีการบันทึกกรุอานลงบนแผ่นหนัง แผ่นหิน และกระดูกตลอดจนบนก้านอินทผลัม ในสมรภูมิอัล-ยะมามะห์ ปรากฎว่าบรรดาสาวกของท่านศาสดาจำนวนมากซึ่งเป็นนักท่องจำกรุอานได้เสียชีวิตลงท่านคอลีฟะฮ์อุมัรจึงได้แนะนำให้ท่านอบูบักร รวบรวมอัลกรุอานขึ้นเป็นเล่มโดยสมบูรณ์ในสมัยที่ท่านคอลีฟะฮ์อบูบักร มีชีวิตอยู่ท่านได้เก็บรักษาอัลกรุอานเล่มนี้ไว้เมื่อท่านคอลีฟะฮ์อบูบักรได้ถึงแก่กรรมลง  ท่านคอลีฟะฮ์อุมัร จึงเป็นผู้เก็บรักษา อัลกรุอานเล่มน้ไว้เมิอท่านคอลีฟะฮ์อุมัรได้ถึงแก่กรรมอัลกรุอานเล่มนี้อยู่กับนางฮัฟเซาะห์ บุตรสาวของท่านคอลีฟะฮ์อุมัร  ซึ่งเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด  
ขณะที่ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานดำรงตำแหน่งคอลลีฟะฮ์ อาณาจักรของอิสลามได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง บรรดามุสลิมได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงได้มีการศึกษาอัลกรุอานและซุนนะห์ ของท่านนบี  พร้อมกันนี้ก็ได้มีการอ่านอัลกรุอาน ไปคนละสำเนียงและมีการเรียบเรียงบทของอัลกรุอานไปคนละอย่าง เพื่อป้องกันความปั่นป่วน ท่านคอลีฟะฮ์อุษมานจึงมีคำสั่งให้จัดตั้งกองคัดลอกอัลกรุอานขึ้น โดยใช้อัลกรุอานฉบับของท่านคอลีฟะฮ์อบูบักร เป็นแม่บท และให้เซด อิบนิซาบิด เป็นแม่กอง ต่อจากนั้นก็ได้จัดส่ง อัลกรุอาน ฉบับที่คัดลอก ใหม่ไปยังหัวเมืองต่างๆ และให้อ่านอัลกรุอานตามสำเนียงของฉบับใหม่

2. การขยายมัสยิดของนบี
ความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งที่ต้องยกให้เป็นผลงานของคอลีฟะฮ์อุษมานก็คือ การขยายมัสยิดนบี ก่อนหน้านี้ กำแพงของมัสยิดที่ถูกสร้างขึ้น ในสมัยของท่านนบี  นั้นที่ทำด้วยกิ่งของต้นอินทผลัม ในสมัยของคอลีฟะฮ์อบูบักร บริเวณภายในมัสยิดก็ไม่ได้มีการขยับขยาย มาในสมัยของคอลีฟะฮ์อุมัรได้มีการขยายตัวอาคาร แต่ก็ใช้อิฐที่มิได้เผามาก่อกำแพง คอลีฟะฮ์อุษมานได้ขยายมัสยิดออกไปอย่างกว้างขวางและได้ใช้หินสกัดมาก่อเป็นกำแพง โดยใช้ผงหินปูนและดินผสมกันเป็นตัวเชื่อม  เสาที่ใช้ก็ทำมาจากหินสกัดและหลังคาทำด้วยไม้สักอินเดีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น